วิกิพีเดีย วางแผนใช้โมเดล AI "อายะ" จาก Cohere บริษัทเทค AI สตาร์ตอัพในการพัฒนาฟีเจอร์สรุปบทความอัตโนมัติบนแพลตฟอร์มมือถือ หวังเพิ่มการเข้าถึงข้อมูลและเพิ่มเวลาการใช้งานของผู้ใช้ในยุคที่การแข่งขันข้อมูลออนไลน์ทวีความรุนแรง การลงทุนในเทคโนโลยี AI นี้คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนการผลิตเนื้อหาและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ
จากรายงานของ 404Media แผนการทดลอง AI บน วิกิพีเดีย เป็นเวลา 2 สัปดาห์บนเวอร์ชันมือถือได้รับการต่อต้านจากชุมชนบรรณาธิการที่เป็นแรงขับเคลื่อนหลักของแพลตฟอร์ม ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ขององค์กร การสูญเสียความไว้วางใจจากกลุ่มนี้อาจนำไปสู่การลดลงของคุณภาพเนื้อหาและผลกระทบต่อรายได้จากการบริจาค
การต่อต้านครั้งนี้เกิดจากความกังวลเรื่องคุณภาพเนื้อหาที่อาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของแบรนด์วิกิพีเดีย ซึ่งสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจผ่านการเป็นแหล่งอ้างอิงหลักของเว็บไซต์และแอปพลิเคชันทั่วโลก บรรณาธิการหลายคนกังวลว่าข้อผิดพลาดของ AI จะทำลายชื่อเสียงที่สั่งสมมา 20 ปี ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าของแบรนด์และความสามารถในการระดมทุนในอนาคต
ความล้มเหลวของฟีเจอร์ AI ที่ผ่านมา เช่น Google AI Overview ที่มีผู้ใช้ 1.5 พันล้านรายต่อเดือนแต่ให้ข้อมูลผิดพลาดเรื่องการใส่กาวในพิซซ่า หรือ Apple AI ที่สร้างข่าวเท็จเรื่องลุยจี มังโจนี ทำให้เกิดความระแวงต่อเทคโนโลยี AI ในชุมชนวิกิพีเดีย กรณีเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงทางธุรกิจที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้เทคโนโลยีที่ยังไม่เสถียร
มาร์แชล มิลเลอร์ ผู้อำนวยการอาวุโส มูลนิธิวิกิพีเดีย ยอมรับว่าการสื่อสารไม่เพียงพอและสัญญาจะไม่ดำเนินการโดยไม่มีส่วนร่วมของบรรณาธิการ การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงความสำคัญของโมเดลธุรกิจที่พึ่งพาชุมชนอาสาสมัคร ซึ่งเป็นทรัพยากรหลักที่ช่วยให้องค์กรดำเนินงานได้โดยไม่ต้องจ้างพนักงานเต็มเวลาจำนวนมาก
ผลกระทบทางการเงินจากการหยุดโครงการนี้อาจรวมถึงการสูญเสียโอกาสในการแข่งขันกับแพลตฟอร์มอื่นที่ใช้ AI และการลดลงของการเข้าชมจากผู้ใช้ที่คาดหวังประสบการณ์ที่ทันสมัยกว่า นอกจากนี้ยังอาจส่งผลต่อแผนการระดมทุนและการพัฒนาเทคโนโลยีในอนาคต
แม้จะหยุดชั่วคราว แต่มูลนิธิวิกิพีเดียยืนยันจะพัฒนาต่อโดยมุ่งสร้างระบบควบคุมคุณภาพที่มนุษย์เป็นศูนย์กลาง เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันกับแพลตฟอร์มข้อมูลอื่นที่นำ AI มาใช้เพิ่มประสบการณ์ผู้ใช้ การหาสมดุลระหว่างนวัตกรรมและการรักษาคุณภาพจะเป็นกุญแจสำคัญต่อความอยู่รอดทางธุรกิจในอนาคต
ที่มา: Neowin