เนคเทค เดินหน้ายุทธศาสตร์ AI ดันภาครัฐใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะเต็มรูปแบบ

05 มิ.ย. 2568 | 01:14 น.

เนคเทค เผยความก้าวหน้าเทคโนโลยี AI ในภาครัฐ ชูแผนยุทธศาสตร์ระดับชาติ พัฒนาโมเดลภาษาไทย เสริมแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์ส และเดินหน้าขยายการใช้งานจริงหลายหน่วยงาน

ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) และผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการ AI แห่งชาติ เปิดเผยว่า ผลการสำรวจร่วมระหว่างสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) และ สวทช. ล่าสุด พบว่า มีหน่วยงานภาครัฐไทยเพียง 17% ที่นำ AI มาใช้งานจริงแล้ว

เนคเทค เดินหน้ายุทธศาสตร์ AI ดันภาครัฐใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะเต็มรูปแบบ

ขณะที่อีกกว่า 75% อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมหรืออยู่ในขั้นตอนการพิจารณา แสดงให้เห็นว่าภาครัฐไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญในการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะมาใช้ขับเคลื่อนการบริหารจัดการและการให้บริการสาธารณะ

แม้ตัวเลขผู้ใช้งานจริงจะยังไม่สูงนัก แต่แนวโน้มความสนใจและการตื่นตัวในหมู่หน่วยงานราชการถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่ชัดเจนต่ออนาคตของ AI ภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เทคโนโลยีโลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคของ Multimodal AI ซึ่งสามารถประมวลผลข้อมูลหลากหลายรูปแบบได้พร้อมกัน ทั้งข้อความ ภาพ เสียง และวิดีโอ รวมถึง Edge AI ที่รองรับการประมวลผลที่อุปกรณ์ปลายทางโดยไม่ต้องอาศัยศูนย์กลางคลาวด์ ทำให้ภาครัฐสามารถให้บริการได้รวดเร็ว ปลอดภัย และสอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่มากยิ่งขึ้น

ประเทศไทยได้เริ่มวางรากฐานด้าน AI อย่างเป็นระบบผ่านการประกาศใช้แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ เมื่อปี 2565 เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาเทคโนโลยีและกำหนดแนวทางการนำ AI ไปใช้จริงในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในหน่วยงานราชการ ซึ่งเป็นภาคส่วนที่มีศักยภาพในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างให้กับประเทศ

เนคเทค เดินหน้ายุทธศาสตร์ AI ดันภาครัฐใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะเต็มรูปแบบ

สำหรับการนำ AI ไปประยุกต์ใช้ในภาครัฐ เนคเทคเสนอแนวทาง 4 ขั้นตอนสำคัญ ได้แก่ การพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยี การปรับกระบวนการทำงานและข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล การพัฒนาบริการอัจฉริยะทั้งต่อภายในและภายนอกองค์กร และการใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจอย่างแม่นยำในเชิงนโยบาย ซึ่งทั้งหมดจะช่วยให้ภาครัฐเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตอบสนองต่อประชาชนได้ดียิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน เนคเทคยังเดินหน้ายกระดับขีดความสามารถของประเทศผ่านการพัฒนาเครื่องมือ AI ที่ตอบโจทย์การใช้งานในบริบทของไทยโดยเฉพาะ หนึ่งในความก้าวหน้าที่สำคัญคือการพัฒนาโมเดลภาษาไทย OpenThaiGPT ที่เริ่มต้นในปี 2566 และต่อยอดเป็น OpenThaiLLM ซึ่งเป็นโมเดลแบบโอเพ่นซอร์ส สามารถปรับแต่งให้เข้ากับความต้องการเฉพาะของแต่ละหน่วยงาน และนำไปใช้งานได้อย่างยืดหยุ่น ไม่ขึ้นอยู่กับบริการจากต่างประเทศที่มีข้อจำกัดด้านค่าใช้จ่าย ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล และความสามารถในการควบคุม

นอกจากนี้ ยังมีแพลตฟอร์ม “AI for Thai” ที่เนคเทคพัฒนาขึ้นเพื่อเปิดให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนเข้าถึงบริการ AI ได้ฟรี โดยในแพลตฟอร์มดังกล่าวมีเครื่องมือ AI หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การรู้จำเสียงพูด การถอดความอัตโนมัติ การวิเคราะห์ภาษาไทย ไปจนถึงการแปลภาษาและสรุปข้อมูล ซึ่งช่วยลดอุปสรรคในการเริ่มต้นใช้งาน AI สำหรับหน่วยงานที่ยังไม่มีทรัพยากรด้านเทคนิคหรืองบประมาณเพียงพอ

ความพยายามของเนคเทค เริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรมจากหลายโครงการที่ถูกนำไปใช้ในหน่วยงานภาครัฐแล้ว เช่น ระบบถอดความการประชุมรัฐสภาที่ช่วยลดเวลาการจัดทำรายงานประชุม ระบบ DocChat และ DocGen ที่ช่วยเจ้าหน้าที่สืบค้นข้อมูลและจัดทำเอกสารสำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือ Chatbot ของสำนักงาน ก.พ.ร. ที่สามารถให้ข้อมูลกับประชาชนตามคู่มือราชการอย่างถูกต้องและทันสมัย

อีกตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จคือ Traffy Fondue ระบบรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนที่ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ปัญหาแบบเรียลไทม์ และส่งต่อข้อมูลไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง รวมถึงโครงการ Thai School Lunch ที่นำ AI มาช่วยออกแบบเมนูอาหารกลางวันในโรงเรียน โดยคำนึงถึงโภชนาการที่เหมาะสมและการใช้วัตถุดิบในท้องถิ่น ขณะเดียวกัน TPMAP หรือ Thai People Map and Analytics Platform ก็ใช้ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อช่วยชี้เป้าความยากจนและออกแบบสวัสดิการได้อย่างตรงจุด

การผลักดันให้หน่วยงานรัฐปรับตัวสู่ระบบอัจฉริยะด้วย AI ยังต้องเผชิญความท้าทายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นความไม่พร้อมของข้อมูล การขาดแคลนบุคลากรที่มีความเข้าใจเทคโนโลยี และการกำหนดนโยบายที่สอดคล้องกันระหว่างหน่วยงาน

อย่างไรก็ตาม ดร.ชัย ย้ำว่า ความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และจำเป็นต้องเดินหน้าอย่างมียุทธศาสตร์ เพื่อให้เทคโนโลยีสามารถยกระดับการให้บริการภาครัฐได้อย่างยั่งยืน

ในระยะต่อไป เนคเทคเตรียมผลักดันการขยายการใช้งาน AI ในภาคส่วนอื่นๆ ที่มีศักยภาพ เช่น การท่องเที่ยว การเกษตร และสาธารณสุข โดยมองว่า AI สามารถช่วยสนับสนุนการตัดสินใจ การคาดการณ์ และการบริหารจัดการในระดับพื้นที่ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น

บทบาทของ AI จึงไม่ได้เป็นเพียงนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี แต่คือเครื่องมือในการยกระดับระบบราชการไทยให้เข้าสู่ยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ความโปร่งใส และประสิทธิภาพในการให้บริการต่อประชาชนอย่างแท้จริง