KEY
POINTS
นายอาเจย์ ชาร์มา ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท โนเกีย ประจำประเทศไทยและกัมพูชา เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลที่น่าตื่นเต้น ยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ (AI) เติบโตอย่างก้าวกระโดด และก่อให้เกิดความต้องการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอย่างมหาศาล ทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยจะเห็นกระแสการลงทุนครั้งใหม่ในดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นหัวใจของการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ที่ทำหน้าที่จัดเก็บ ประมวลผล และรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสำคัญของเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกันในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ประเทศไทยอยู่ท่ามกลางศูนย์กลางของกระแสนี้อย่างชัดเจน โดบนโยบาย Cloud First ที่นำโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประเทศที่จะเป็นผู้นำด้านดิจิทัล นี่คือก้าวเชิงรุกที่ไม่เพียงส่งเสริมการให้บริการสาธารณะ แต่ยังเปิดโอกาสให้ธุรกิจสามารถขยายตัวได้อย่างชาญฉลาดและรวดเร็ว
นายอาเจย์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีดาต้าเซ็นเตอร์ที่เปิดดำเนินการแล้วกว่า 46 แห่ง ตามข้อมูลจาก Data Center Map รวมถึงยังมีบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Microsoft, Amazon, Google
และ ByteDance เข้ามาลงทุนในตลาดไทย ซึ่งประเทศไทยจึงกำลังก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบ
ขณะที่ภาคดิจิทัลของไทยคาดว่าจะเติบโตถึง 7.3% ในปี 2568 ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของ GDP โดยรวมที่ 2.8% อย่างมีนัยสำคัญ
“เชื่อว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลกำลังกลายเป็นรากฐานสำคัญของความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ และการเติบโตดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากโซลูชันเครือข่ายดาต้าเซ็นเตอร์ขั้นสูง เช่น Data Center Interconnect (DCI) และ Data Center Gateway (DCGW) ซึ่งมีความสำคัญต่อการเชื่อมต่อแบบออปติคอลข้ามพรมแดนและเศรษฐกิจดิจิทัลโดยรวม”
นายอาเจย์ กล่าวต่อไปอีกว่า ดาต้าเซ็นเตอร์ไม่ใช่แค่สิ่งปลูกสร้าง แต่คือ ระบบประสาทส่วนกลาง ของเศรษฐกิจดิจิทัล เครือข่ายที่ขับเคลื่อนพวกมันต้องมีความน่าเชื่อถือสูง ประสิทธิภาพดี และพัฒนาไปสู่ระบบอัตโนมัติมากขึ้น เพื่อรองรับการใช้งานตั้งแต่การทำงานร่วมกันบนคลาวด์ ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูล AI แบบเรียลไทม์
สิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือวิธีที่ระบบอัตโนมัติกำลังนิยามความเป็นไปได้ใหม่แพลตฟอร์มอย่าง Event Driven Automation (EDA) กำลังสร้างมาตรฐานใหม่ที่ลดความผิดพลาดจากมนุษย์ ปรับปรุงกระบวนการให้คล่องตัว และตอบสนองได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
โนเกียได้ร่วมมือกับพันธมิตรอย่าง Maxis และ Kyndryl ซึ่งจะช่วยเพิ่มความคล่องตัวด้านการดำเนินงาน และขยายประสิทธิภาพได้เป็นอย่างดี โดยบทบาทก็คือการทำให้เทคโนโลยีที่ซับซ้อนกลายเป็นเรื่องง่าย และปลดล็อกศักยภาพเต็มที่เพื่อให้ธุรกิจมุ่งเน้นไปที่นวัตกรรมไม่ใช่โครงสร้างพื้นฐานนี่คือรากฐานของการเติบโตที่เรากำลังช่วยสร้างให้เกิดขึ้นในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม การเติบโตมาพร้อมความรับผิดชอบ โดยเฉพาะในเรื่องของความปลอดภัย โดยตลาดความปลอดภัยเครือข่ายของไทย คาดว่าจะมีมูลค่าเกือบ 136 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าความตระหนักด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้กำลังเพิ่มขึ้น องค์กรต่าง ๆ มองว่านี่ไม่ใช่เพียงความท้าทายด้านเทคนิค แต่เป็นกลยุทธ์หลักขององค์กร
“การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวถือว่ามาถูกเวลาแล้ว ระบบป้องกันแบบดั้งเดิมไม่สามารถรับมือกับภัยคุกคามที่ซับซ้อนในปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อคอมพิวเตอร์ควอนตัมกำลังใกล้เข้าสู่การใช้งานจริง นี่จึงเป็นเหตุผลที่เครือข่าย Quantum-Safe ไม่ใช่ตัวเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็น”
สำหรับระบบรุ่นใหม่นี้ไม่ใช่เพียงการเข้ารหัส แต่เป็นการฝังความปลอดภัยลงในเลเยอร์ทางกายภาพ โดยใช้การจัดการกุญแจสมมาตร เพื่อให้มั่นใจได้ว่า แม้ข้อมูลจะถูกดักจับ ก็ไม่สามารถถูกอ่านออกมาได้ นี่คือสิ่งที่โครงข่าย Quantum-Safe Optical Networkingมอบให้และกำลังพิสูจน์คุณค่าแล้วในโลกจริง โดยปัจจุบันมีการใช้งานจริงกว่า 100 แห่งทั่วโลก เราเห็นเส้นทางที่ชัดเจนแล้วว่าจะปกป้องข้อมูลในวันนี้ และรักษาความเชื่อมั่นในวันข้างหน้า
นายอาเจย์ กล่าวต่ออีกว่า ทำเลและยุทธศาสตร์ของประเทศไทยทำให้ประเทศนี้กลายเป็นหัวใจของอนาคตดิจิทัลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่ถูกต้อง ประเทศไทยสามารถเป็นสะพานของข้อมูล การค้า และความร่วมมือทั่วทั้งภูมิภาค แต่ต้องมีความร่วมมืออย่างต่อเนื่องระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และพันธมิตรต่าง ๆ
“การลงทุนในระบบอัตโนมัติอัจฉริยะ ความปลอดภัยแบบ Quantum-Safe และดาต้าเซ็นเตอร์ยุคใหม่ จะทำให้ประเทศไทยไม่เพียงบรรลุด้านดิจิทัล แต่ยังสามารถก้าวข้ามไปได้”