ในแผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี พ.ศ. 2564 -2573 (NDC Action Plan on Mitigation 2021-2030) ซึ่งเป็นแผนระยะสั้นที่จะสนับสนุนให้ประเทศไทยไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ในปี ค.ศ.2065 ตามที่มีการตกลงไว้ ผ่านการดำเนินงาน 5 สาขาหลัก โดยเน้นไปที่สาขาพลังงานและสาขาขนส่ง ที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด
ทั้งนี้ สาขาพลังงานมีเป้าหมาย ที่จะลดก๊าซเรือนกระจก 124.6 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า(MtCO2eq) โดยพุ่งเป้าไปที่การส่งเสริมผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ทั้งพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ ชีวมวล ก๊าซชีวภาพ ขยะ การพัฒนาเชื้อเพลิงเอทานอล การพัฒนาเชื้อเพลิงไบโอดีเซล และการพัฒนาพลังงานสะอาดใหม่ คาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 90.20 MtCO2eq ขณะที่มาตรการเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอนได ออกไซด์(CCS) คาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 1 MtCO2eq จากโครงการนำร่องการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่แหล่งก๊าซธรรมชาติอาทิตย์ในอ่าวไทย
ส่วนสาขาคมนาคมขนส่ง มีเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก 45.61 MtCO2eq จะเน้นไปที่การส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) ที่คาดว่าจะลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 28.29 MtCO2eq
ดร. อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการ และทีมงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ชี้ให้เห็นว่า การตั้งเป้าหมายในการบรรลุ (Net Zero) ของประเทศ มีแผนล่าช้ากว่าประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อาทิ มาเลเซีย เวียดนาม ที่มุ่งสู่ Net Zero ในปี 2050 และอินโดนีเซีย ตั้งเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2060 เป็นต้น
โดยเฉพาะการมุ่งดำเนินงานของไทยในการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ที่จะมาช่วยลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญจากโครงสร้างพลังงานที่ยังพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลในสัดส่วนที่สูงถึง 85% ในปี 2023 ไทยผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเพียง 15% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอย่างชัดเจน สะท้อนว่าการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดของไทยยังช้ากว่าหลายประเทศในภูมิภาค โดยเฉพาะเวียดนามที่มีสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดถึง 38%
ทั้งนี้ แม้ว่าประเทศไทยจะมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด สะท้อนจากร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย(PDP 2024) ที่อยู่ระหว่างการจัดทำ มีแผนเพิ่มการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดเป็น 51% ภายในปี 2037 และเป็น 74% ภายในปี 2050 แต่ปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจน เนื่องจากมีการทบทวนหรือปรับปรุงร่างใหม่ จากที่เคยผ่านการรับฟังความคิดเห็นไปแล้วเมื่อช่วงกลางปี 2567 ที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับเวียดนาม ที่ ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตของโครงการพลังงานจากลม 6 GW ภายในปี 2030 และ 70-91.5 GW ภายในปี 2050 เป็นต้น
สถานการณ์ดังกล่าว อาจจะกลายเป็นจุดอ่อน ในแง่การแข่งขัน และความสามารถในการดึงดูดการลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะจากธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานสะอาด อย่าง Data Center ซึ่งต้องใช้ไฟฟ้าปริมาณมากและต่อเนื่อง โดยเฉพาะความต้องการไฟฟ้าที่สะอาดและมีเสถียรภาพ กำลังกลายเป็นแรงผลักให้เกิดการผลิตพลังงานสะอาดในรูปแบบไฮบริดมากขึ้น เช่น การใช้พลังงานแสงอาทิตย์และลมร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) เพื่อให้ตอบสนองการใช้งานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งจะกลายเป็นกระแสหลัก เนื่องจากต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่อหน่วยมีแนวโน้มถูกลงและมีเสถียรภาพมากขึ้น สามารถตอบโจทย์ความต้องการของ Data Center ได้
อีกทั้ง เห็นว่า การส่งเสริมใช้ยานยนต์ไฟฟ้าหรือ EV ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ยังนำมาซึ่งความท้าทายต่อเสถียรภาพของโครงข่ายไฟฟ้า เนื่องจากความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม หากไฟฟ้าที่ใช้ในการชาร์จยังคงมาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งอาจลดทอนประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมของ EV ลงได้
อย่างไรก็ตาม แม้ไทยจะยังเดินตามหลังหลายประเทศอยู่บ้าง แต่ไทยมี 4 ปัจจัยที่เอื้อต่อการพัฒนาพลังงานสะอาด ได้แก่ ทำเลที่ตั้งของประเทศที่มีศักยภาพ ในการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ค่อนข้างสูง เหมาะกับการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ แม้พลังงานลมจะยังมีไม่สูงนัก แต่เทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็วอาจเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้ในอนาคตอันใกล้
ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่ลดลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากพลังงานแสงอาทิตย์ ที่คาดว่าต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่อหน่วยสำหรับโรงไฟฟ้าใหม่ภายในปี 2030 จะลดลงถึง 27% ในขณะที่ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่อหน่วยสำหรับโรงไฟฟ้าใหม่ที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลนั้นลดลงประมาณ 5% และไฟฟ้าจากพลังงานลม จะเริ่มเข้าใกล้ระดับต้นทุนที่พอแข่งขันได้ โดยเฉพาะ
อย่างไรก็ตาม แม้ไทยจะยังไม่เปิดเสรีตลาดไฟฟ้าเหมือนกับหลายประเทศ แต่ก็มีมาตรการที่ช่วยส่งเสริมและเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เช่น โครงการรับซื้อไฟฟ้าแบบ Feed-in Tariff (FiT) สัญญาซื้อขายไฟฟ้าภาคเอกชน (Corporate PPAs) และตลาดซื้อขายใบรับรองไฟฟ้าพลังงานสะอาด หากไทยสามารถพัฒนาไปสู่ตลาดที่เปิดกว้างมากขึ้น ก็จะสามารถเร่งให้การผลิตไฟฟ้าสะอาดขยายตัว พร้อมทั้งดึงดูดภาคธุรกิจที่ต้องการใช้พลังงานสะอาดสูงให้เข้ามาลงทุนด้วย
รวมถึง นโยบายส่งเสริม EV อย่างจริงจังของรัฐ ผ่านนโยบาย 30@30 และมาตรการ EV 3.5 ที่มีสิทธิประโยชน์ทางภาษี ส่งผลให้มีการใช้ EV เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเกิดการลงทุนในสายการผลิต EV ภายในประเทศ หากภาครัฐสามารถบริหารจัดการอย่างเหมาะสม EV จะไม่เพียงแต่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคขนส่ง แต่ยังสามารถเพิ่มความยืดหยุ่นของระบบไฟฟ้าที่มีสัดส่วนพลังงานสะอาดสูง ผ่านการชาร์จอัจฉริยะ (Smart Charging) และเทคโนโลยีจ่ายไฟกลับเข้าสู่โครงข่ายจาก EV (Vehicle-to-Grid: V2G)
ดังนั้น จากเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด ไทยจำเป็นต้องเร่งปรับแนวทางการทำงาน และระบบให้เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดเดินหน้าได้จริง และเกิดผลในทางปฏิบัติ ซึ่งต้องเร่งดำเนินการอย่างน้อยใน 2 มิติสำคัญ ได้แก่
1.การเชื่อมโยงนโยบายพลังงานระหว่างหน่วยงานให้เดินไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งปัจจุบันการวางแผนด้านพลังงานของไทยยังแยกกันอยู่ตามภารกิจของแต่ละหน่วยงาน ทำให้เกิดความไม่สอดคล้องกันในทางนโยบาย โดยรัฐควรจัดตั้ง “ระบบบูรณาการหรือกลไกกลาง” เพื่อเชื่อมโยงนโยบาย โดยเฉพาะ 5 แผนหลัก ได้แก่ แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) แผนพัฒนาพลังงานทดแทน (AEDP) แผนอนุรักษ์พลังงาน (EEP) แผนบริหารจัดการน้ำมัน และ แผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ โดยแผนทั้งหมดต้องมีเป้าหมายร่วมกันในระยะยาว เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีเป้าหมายร่วมกันในการนำไปปฏิบัติ พร้อมตอบสนองต่อบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
2.การเปิดพื้นที่ให้ภาคเอกชนและภาคประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง การเปลี่ยนผ่านพลังงานจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกภาคส่วนมีโอกาสมีส่วนร่วม ไม่ใช่เพียงการรับฟังความคิดเห็น แต่ต้องเป็นกระบวนการที่เปิดกว้างให้เอกชน และประชาชนร่วมออกแบบนโยบาย ตั้งแต่การประเมินผลกระทบ ไปจนถึงการเสนอแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งระบบ การสร้างกลไกการมีส่วนร่วมจะช่วยให้การเปลี่ยนผ่านไม่ใช่ภาระของรัฐฝ่ายเดียว แต่เป็นภารกิจร่วมของทั้งสังคม และทำให้การพัฒนาเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
ทั้งนี้ อนาคตพลังงานสะอาดของไทยมีทั้งโอกาสและความท้าทาย การเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอา ไม่ใช่เพียงทางรอดด้านสิ่งแวดล้อม แต่คือกลไกสำคัญที่ช่วยให้ไทยสามารถแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้ในอนาคต ความชัดเจนของเป้าหมาย นโยบายที่สอดคล้องกัน และการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนจะเป็นกุญแจสำคัญที่นำพาประเทศไทยไปสู่ระบบพลังงานที่เป็นธรรม มั่นคง และยั่งยืน