ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ บีกริม เปิดเผยว่า หลังประกาศความร่วมมือในการร่วมลงทุนโครงการพัฒนาศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ไฮเปอร์สเกล มูลค่าการลงทุนกว่า 24,520 ล้านบาท เมื่อเดือนมิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา บี.กริม เพาเวอร์ และ ดิจิทัล เอดจ์ ก็ได้ฤกษ์ลงเสาเข็มก่อสร้างโครงการอย่างเป็นทางการ ภายในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จังหวัดชลบุรี
สำหรับเฟสแรกนี้เป็นการเริ่มต้นก่อสร้างศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ขนาด 100 เมกะวัตต์ ซึ่งมีเป้าหมายจะเปิดให้บริการเฟสแรก 48 เมกะวัตต์ในไตรมาส 4 ปี 2569 โดยจะให้บริการครอบคลุมทั้งในส่วนของโลเคชั่นความหนาแน่นสูง การเชื่อมต่อระหว่างศูนย์ รวมถึงคลาวด์โซลูชันแบบผสมผสาน เพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มไฮเปอร์สเกล และกลุ่มธุรกิจ AI รวมถึงองค์กรที่ต้องการเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ดิจิทัล
ด้านนายจอห์น ฟรีแมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ ดิจิทัล เอดจ์ กล่าวเสริมว่า โครงการพัฒนาศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ไฮเปอร์สเกล เริ่มต้นก่อสร้างอย่างเป็นทางการแล้ว ด้วยการออกแบบมาให้มีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงเป็นพิเศษ มีค่า PUE (Power Usage Effectiveness) ต่ำ ตามมาตรฐานสากลของศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ชั้นนำของโลก โดยบริษัทและทีมที่ปรึกษาชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญด้านดาต้าเซ็นเตอร์โดยเฉพาะ ซึ่งนับเป็นมาตรฐานระดับโลกในการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า เพื่อมอบโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง มีเสถียรภาพ และ รองรับการเติบโตของเทคโนโลยีในอนาคตได้อย่างมั่นคง โดยมีเป้าหมายจะเปิดให้บริการเฟสแรกในไตรมาส 4 ปี 2569 ด้วยการสนับสนุนจากพอร์ตพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่ของ บี.กริม เพาเวอร์ เชื่อมั่นได้ว่า เมื่อแล้วเสร็จศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งนี้จะมีบทบาทสำคัญที่ทำให้การพัฒนาและการใช้งานระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในระดับไฮเปอร์สเกล (AI-at-scale) มีประสิทธิภาพและยั่งยืนยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ยังถือเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่น โดยเฉลี่ยอยู่ในระดับเลขสองหลัก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ได้รับความสนใจจากทั้งนักลงทุน สถาบันการเงินทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงผู้ใช้งานทั่วโลก ทั้งนี้ พลังงานสะอาด ผ่าน Direct PPA สำหรับกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ จะเป็นกลไลหลักที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และสนับสนุนความยั่งยืน หากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างทันท่วงที จะช่วยยกระดับศักยภาพการแข่งขันและสร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาวความร่วมมือนี้เป็นหนึ่งในสามเสาหลัก ที่จะต่อยอดวางรากฐานในอนาคตที่เรียกว่า “Digital Infrastructure as a Service” หรือ ระบบโครงสร้างดิจิทัลครบวงจรแบบพร้อมใช้งาน อันประกอบด้วย