OpenAI บริษัทเทคโนโลยีผู้พลิกโฉมวงการด้วย ChatGPT กำลังจะก้าวอีกขั้นด้วยการเปิดตัว “เว็บเบราว์เซอร์” ที่เสริมพลังด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อท้าทายผู้นำตลาดอย่าง Google Chrome โดยตรง โดยข้อมูลจากแหล่งข่าววงใน 3 รายที่ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ระบุว่า เบราว์เซอร์ตัวใหม่นี้จะเปิดตัวภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า พร้อมเป้าหมายใหญ่ในการเปลี่ยนแปลงวิธีที่ผู้คนใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างสิ้นเชิง
เบราว์เซอร์ใหม่ของ OpenAI ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือท่องเว็บธรรมดา แต่ถูกออกแบบมาให้มีอินเตอร์เฟซแบบแชตคล้าย ChatGPT และสามารถผสานการทำงานกับ “AI agent” ได้โดยตรง ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานสามารถให้ AI ดำเนินการแทน เช่น จองร้านอาหาร กรอกแบบฟอร์ม หรือค้นหาข้อมูลได้ภายในเว็บแบบอัตโนมัติ โดยไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าไปยังเว็บไซต์เหมือนเดิม
จุดนี้ถือเป็นการเปลี่ยนเกมครั้งใหญ่ เพราะจะทำให้ OpenAI เข้าถึง “ข้อมูลพฤติกรรมผู้ใช้งาน” ได้โดยตรง ซึ่งเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของความสำเร็จของ Google มาตลอด โดยเฉพาะกับเบราว์เซอร์ Chrome ที่กลายเป็นเครื่องมือชั้นยอดในการเก็บข้อมูลและต่อยอดรายได้จากโฆษณา ซึ่งคิดเป็นกว่า 75% ของรายได้ทั้งหมดของ Alphabet บริษัทแม่ของ Google
แม้ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการจาก OpenAI แต่แหล่งข่าวระบุว่าเบราว์เซอร์ดังกล่าวจะสร้างประสบการณ์ที่ “ฝัง AI เข้าไปในการใช้งานทุกมิติ” ทั้งในแง่ของผู้ใช้ทั่วไปและระดับองค์กร นี่คือหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญของ OpenAI ที่ต้องการแทรกซึม AI เข้าสู่ชีวิตประจำวันของผู้คนให้ได้มากที่สุด
จังหวะการเปิดตัวนี้ยังเกิดขึ้นในช่วงที่การแข่งขันระหว่าง OpenAI กับ Google รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังจาก ChatGPT เปิดตัวในช่วงปลายปี 2022 และสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ววงการเทคโนโลยี จน Google และสตาร์ตอัป AI อื่น ๆ อย่าง Anthropic ต้องเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์มาตอบโต้ ล่าสุดในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา OpenAI เพิ่งทุ่มเงินกว่า 6.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เข้าซื้อกิจการ io สตาร์ตอัปอุปกรณ์ AI ที่ก่อตั้งโดยอดีตหัวหน้าทีมออกแบบของ Apple อย่าง Jony Ive เพื่อบุกเข้าสู่ตลาดฮาร์ดแวร์
เบราว์เซอร์ตัวใหม่นี้ของ OpenAI จะสร้างบนพื้นฐานของ Chromium ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่ใช้พัฒนา Chrome รวมถึงเบราว์เซอร์คู่แข่งรายอื่น ๆ อย่าง Microsoft Edge และ Opera โดยในปีที่แล้ว OpenAI ยังดึงตัวอดีตรองประธาน Google สองคนที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนา Chrome มาร่วมทีม ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นจริงจังในการบุกตลาดนี้อย่างไม่เกรงใจเจ้าตลาด
ปัจจุบัน Google Chrome มีฐานผู้ใช้งานมากกว่า 3 พันล้านคนทั่วโลก ครองส่วนแบ่งตลาดมากกว่าสองในสาม ขณะที่ Safari ของ Apple อยู่ที่อันดับสองด้วยสัดส่วนเพียง 16% เท่านั้น และในด้านของ OpenAI แม้ยังห่างไกล แต่ก็มีผู้ใช้งาน ChatGPT แบบจ่ายเงินรายเดือนในระดับองค์กรแล้วกว่า 3 ล้านรายทั่วโลก และหากสามารถดึงผู้ใช้งานรายสัปดาห์ของ ChatGPT ที่มีอยู่ราว 500 ล้านคนให้หันมาใช้เบราว์เซอร์ใหม่ได้ ก็อาจกลายเป็นแรงกดดันที่น่ากลัวต่อโมเดลรายได้หลักของ Google
ขณะเดียวกัน คู่แข่งรายอื่นก็เริ่มขยับเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Perplexity ที่เพิ่งเปิดตัวเบราว์เซอร์ AI ชื่อ Comet ที่สามารถทำงานแทนผู้ใช้ได้ หรือสตาร์ตอัปอย่าง The Browser Company และ Brave ที่พัฒนาเบราว์เซอร์ที่สามารถสรุปเนื้อหาเว็บไซต์ให้ผู้ใช้อัตโนมัติ
นอกจากด้านการแข่งขันแล้ว ความเคลื่อนไหวของ OpenAI ยังมาในช่วงที่ Google กำลังเผชิญกับคดีผูกขาดขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ โดยกระทรวงยุติธรรมได้เรียกร้องให้แยก Chrome ออกจากบริษัทแม่ Alphabet เนื่องจากศาลตัดสินว่า Google มีพฤติกรรมผูกขาดในตลาดการค้นหาข้อมูลออนไลน์ โดยก่อนหน้านี้ ผู้บริหารระดับสูงของ OpenAI เคยให้การต่อหน้าคณะกรรมาธิการว่า หาก Chrome ถูกบังคับให้ขายออกจาก Google จริง บริษัทมีความสนใจที่จะเข้าซื้อกิจการดังกล่าวด้วย
อย่างไรก็ดี Google ยังไม่ได้มีแผนขาย Chrome และเตรียมอุทธรณ์คำตัดสินดังกล่าว
สิ่งที่น่าสนใจคือ OpenAI เลือกพัฒนาเบราว์เซอร์ของตัวเองตั้งแต่ต้น แทนที่จะสร้างแค่ปลั๊กอินสำหรับเบราว์เซอร์ของบริษัทอื่น นั่นเพราะพวกเขาต้องการ “ควบคุมข้อมูล” ได้โดยตรง ไม่ต้องพึ่งแพลตฟอร์มคนอื่นอีกต่อไป