สำหรับภาพรวมในปี 2568 ตลาดฟู้ดเดลิเวอรีในประเทศไทยมีมูลค่าตลาด 1.4 แสนล้านบาท เติบโตขึ้น 12% จากปีที่ผ่านมา แม้สภาพเศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่ตลาดฟู้ดเดลิเวอรีกลับมีการขยายตัวได้ดี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเติบโตของการบริการอาหารออนไลน์ในชีวิตประจำวันของคนไทย ขณะที่การแข่งขันในตลาดนั้นดุเดือด โดยเฉพาะเจ้าใหญ่ มีงบประมาณการตลาดมหาศาล ในการจัดแตมเปญส่งเสริมการขายจนทำให้รายเล็กอยู่ลำบาก
ท้ายสุดจะเหลือผู้เล่นรายใหญ่ 2 ราย เช่นเดียวกับบริการอีคอมเมิร์ซ ที่มีแค่ 2 ยักษ์แพลตฟอร์ม “ช้อปปี้-ลาซาด้า” ขณะที่ผู้ประกอบการ 2 ราย จะลดการแข่งขันด้านการตลาด แคมเปญราคา ส่วนลด และหันมามุ่งทำกำไรจากบริการมากขึ้น
ล่าสุด foodpanda แอปสั่งอาหารอันดับ 3 ยกธงขาว โบกมือลาตลาดไทยไปแล้ว โดย Delivery Hero SE แพลตฟอร์มเดลิเวอรีระดับโลกจากเยอรมัน ประกาศว่า foodpanda ซึ่งเป็นธุรกิจในภูมิภาคเอเชียของบริษัท จะยุติการให้บริการแพลตฟอร์ม รวมถึงบริการจัดส่งอาหารและสินค้าในประเทศไทย ในวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ซึ่งการตัดสินใจครั้งนี้สอดคล้องกับแนวทางการปรับกลยุทธ์เชิงภูมิศาสตร์ของ Delivery Hero ซึ่งเคยดำเนินการมาแล้วในหลายประเทศ เช่น เดนมาร์ก กานา สโลวาเกีย และสโลวีเนีย โดยบริษัทจะมุ่งเน้นทรัพยากรไปยังตลาดอื่นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) ที่มีศักยภาพในการเติบโตและผลตอบแทนที่สูงกว่า ทั้งนี้ ทีมงานระดับภูมิภาคที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ซึ่งรับผิดชอบงานสนับสนุนด้านต่าง ๆ เช่น การตลาด และการบริหารทรัพยากรบุคคลสำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จะยังคงดำเนินงานตามปกติต่อไป
จากการตรวจสอบผลประกอบการของ บริษัท เดลิเวอรี่ ฮีโร่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการแอปฟู้ดเดลิเวอรีชื่อดัง “foodpanda” ผ่าน Creden Data พบว่ามีผลประกอบการย้อนหลัง 5 ปี ( ปี 2562-2566) ขาดทุนทุกปี รวมขาดทุนสะสม 5 ปี (2562–2566) ประมาณ 13,359 ล้านบาท
รายได้รวมบริษัท เดลิเวอรี่ ฮีโร่ (ประเทศไทย) จำกัด
- ปี 2562: 818,156,828 บาท
- ปี 2563: 4,375,128,919 บาท
- ปี 2564: 6,786,566,010 บาท
- ปี 2565: 3,628,053,048 บาท
- ปี 2566: 3,843,303,372 บาท
ยอดขาดทุนบริษัท เดลิเวอรี่ ฮีโร่ (ประเทศไทย) จำกัด
- ปี 2562: ขาดทุน 1,264 ล้านบาท
- ปี 2563: ขาดทุน 3,596 ล้านบาท
- ปี 2564: ขาดทุน 4,722 ล้านบาท
- ปี 2565: ขาดทุน 3,255 ล้านบาท
- ปี 2566: ขาดทุน 522 ล้านบาท
Grab ชูกลยุทธ์ S.M.A.R.T เน้นความยั่งยืน
โดยแกร็บ (Grab) ยังคงครองตำแหน่งผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งที่สูงถึง 46% และมีรายได้ และกำไร เติบโตขึ้นต่อเนื่อง โดยกลยุทธ์หลักของ Grab ปีนี้อยู่ภายใต้กลยุทธ์ S.M.A.R.T ที่เน้นความยั่งยืน การขยายตลาด การมอบความคุ้มค่า การรักษาผู้ใช้ และการพัฒนาเทคโนโลยี โดย Grab มีการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น "Group Order" ที่ทำให้ยอดการสั่งอาหารเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า และ "Advance Booking" ที่ช่วยให้การจองอาหารล่วงหน้ามีการเติบโตถึง 60% ในช่วงเทศกาลสำคัญ Grabยังคงขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการเพิ่มความสะดวกสบายและฟีเจอร์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้หลากหลาย
ทั้งนี้จากการสืบค้นผลประกอบการจาก Creden Data พบว่าบริษัท แกร็บแท็กซี่ (ประเทศไทย) จำกัด ณ วันที่ 22 มีนาคม 2568 พบรายได้และกำไรสุทธิในแต่ละปีได้ดังนี้:
รายได้รวม
- ปี 2562: 3,193,186,019 บาท
- ปี 2563: 7,215,461,245 บาท
- ปี 2564: 11,375,559,973 บาท
- ปี 2565: 15,197,479,521 บาท
- ปี 2566: 15,622,426,576 บาท
กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อปี
- ปี 2562: -1,650,109,434 บาท
- ปี 2563: -284,280,850 บาท
- ปี 2564: -325,252,107 บาท
- ปี 2565: 576,134,254 บาท
- ปี 2566: 1,308,464,289 บาท
LINE MAN เติบโตแกร่ง
ขณะที่ ไลน์แมน (LINE MAN) ก็ยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยมีมูลค่าการเติบโตของธุรกิจสูงถึง 35% ซึ่งมากกว่าตลาดโดยรวมที่เติบโต 7% โดยเน้นการรักษาฐานลูกค้าและการเติบโตในกลุ่มผู้ใช้ประจำที่มั่นคง LINE MAN ยังคงเน้นการสร้างการเติบโตจากการเพิ่มจำนวนการสั่งอาหารและจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี โดยมียอดการสั่งอาหารที่เติบโต 5-10% ต่อปี
ทั้งนี้จากการสืบค้นผลประกอบการจาก Creden Data ของบริษัท ไลน์แมน (ประเทศไทย) จำกัด พบรายได้และกำไรสุทธิในแต่ละปีได้ดังนี้:
รายได้รวม
- ปี 2562: 49,920,319 บาท
- ปี 2563: 1,066,371,911 บาท
- ปี 2564: 4,140,036,366 บาท
- ปี 2565: 7,802,774,764 บาท
- ปี 2566: 11,634,419,745 บาท
กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อปี
- ปี 2562: -157,247,263 บาท
- ปี 2563: -1,114,666,254 บาท
- ปี 2564: -2,386,522,457 บาท
- ปี 2565: -2,730,849,262 บาท
- ปี 2566: -253,806,613 บาท
Robinhood หนีแข่งเดือดเจาะตลาดพรีเมี่ยม
สำหรับ Robinhood ซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหม่ในตลาด ฟู้ดเดลิเวอรีไทย ยังคงเลือกกลยุทธ์ที่แตกต่างจากผู้ให้บริการรายใหญ่ โดยไม่มุ่งเน้นการแข่งขันในตลาดที่ใช้ส่วนลดและการแจกคูปองเป็นกลยุทธ์หลัก แต่ Robinhood มุ่งเน้นการสร้างบริการที่มีคุณค่าและสามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงบน โดยไม่จำเป็นต้องลงแข่งขันใน “Money Game” ที่ใช้กลยุทธ์การแจกส่วนลดเป็นหลัก โดยมีการปรับค่าบริการจาก 20% เป็น 25% และเพิ่มค่าบริการโปรโมชันแบบอัตโนมัติอีก 3% รวมเป็น 28% เพื่อสร้างรายได้ที่ยั่งยืนในระยะยาว
รายได้รวม
- ปี 2563: 81,549 บาท
- ปี 2564: 15,788,999 บาท
- ปี 2565: 538,245,295 บาท
- ปี 2566: 724,446,267 บาท
กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อปี
- ปี 2563: -87,829,231 บาท
- ปี 2564: -1,335,375,337 บาท
- ปี 2565: -1,986,837,776 บาท
- ปี 2566: -2,155,727,184 บาท
ฉายภาพฟู้ดเดลิเวอรีไทยหลัง foodpanda ถอนตัว
นายยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai ให้ความเห็นเกี่ยวกับสภาพตลาดฟู้ดเดลิเวอรีไทยหลังการถอนตัวของ foodpanda ว่า “การถอนตัวของ foodpanda ทำให้อุตสาหกรรมฟู้ดเดลิเวอรีของไทยเข้าสู่การแข่งขันแบบ Duopoly อย่างชัดเจน โดยจากข้อมูลของ Redseer ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 LINE MAN ครองส่วนแบ่งตลาดจากจำนวนธุรกรรมที่ 44% ขณะที่ Foodpanda มีส่วนแบ่งประมาณ 5% แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงในจำนวนผู้เล่น แต่โครงสร้างตลาดยังคงมีเสถียรภาพ และการแข่งขันยังอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงเดิม
สถานการณ์นี้มองว่าอาจเป็นจุดเปลี่ยนจาก ‘สงครามราคา’ สู่ ‘สงครามคุณภาพ’ โดยผู้เล่นที่เหลือสามารถจัดสมดุลระหว่างคุณภาพ บริการ และการบริหารต้นทุนได้ดีขึ้น เปิดโอกาสในการทำกำไรอย่างยั่งยืน และมีทรัพยากรเพียงพอในการลงทุนพัฒนาบริการใหม่
ในด้านของผู้บริโภคนั้นได้รับผลกระทบน้อย เนื่องจากมีตัวเลือกบริการเท่าเดิม โดยเฉพาะ LINE MAN ที่ให้บริการครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศอยู่แล้ว ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเปลี่ยนแพลตฟอร์มได้ทันที โดยไม่เสียโอกาสในการเข้าถึงร้านอาหารท้องถิ่น
หนึ่งในผลกระทบหลัก คือกลุ่มไรเดอร์และร้านค้าบางส่วนที่ต้องเปลี่ยนแพลตฟอร์ม LINE MAN Wongnai จึงเตรียมความพร้อมรองรับกลุ่มนี้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการสร้างรายได้และไม่เกิดภาวะว่างงานหรือธุรกิจสะดุดชั่วคราว”
LINE MAN Wongnai พร้อมเป็นแรงสนับสนุนให้ไรเดอร์-ร้านค้า เพื่อช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในตลาด โดยมีมาตรการดังนี้
ไรเดอร์: บริษัทฯ กำลังพิจารณาเปิดรับไรเดอร์เพิ่มเติมในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในจังหวัดที่ foodpanda มีให้บริการ เพื่อช่วยลดผลกระทบจากการว่างงาน
ร้านค้า: ร้านค้าที่เคยขายผ่าน foodpanda สามารถเข้าร่วมขายบน LINE MAN ได้ทันทีที่ https://e-contract.wongnai.com/landing โดยบริษัทฯ จะนำเสนอเงื่อนไขพิเศษสำหรับร้านค้าใหม่ เพื่อให้สามารถปรับตัวและเริ่มขายต่อได้อย่างราบรื่น
LINE MAN กลายเป็นผู้เล่นหนึ่งเดียวในไทยที่ให้บริการครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ ได้พัฒนาฟีเจอร์เพื่อรองรับฐานผู้ใช้งานที่หลากหลายมากขึ้นในช่วงที่ตลาดเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติที่พำนักในไทย ทำให้สามารถเปลี่ยนมาใช้แพลตฟอร์มใหม่ได้อย่างราบรื่น LINE MAN ได้เปิดตัวฟีเจอร์แปลภาษาอัตโนมัติเต็มรูปแบบ โดยระบบจะแปลข้อความทั้งหมดในแอปเป็นภาษาอังกฤษ ตั้งแต่การเลือกร้านอาหาร ชื่อเมนูและรายละเอียดอาหาร ไปจนถึงข้อความในแชทที่ให้พูดคุยกับไรเดอร์ง่ายขึ้น โดยลูกค้าสามารถพิมพ์ภาษาอังกฤษ และระบบจะแปลภาษาอัตโนมัติ อีกทั้งยังใช้สติกเกอร์ภาษาอังกฤษจาก LINE MAN ที่ช่วยให้สื่อสารกับไรเดอร์ได้อย่างง่ายดาย ไม่จำเป็นต้องพิมพ์ประโยคยาวๆ ให้ลูกค้าต่างชาติสั่งอาหารร้านท้องถิ่นใกล้ที่พักหรือสตรีทฟู้ดชื่อดังใน 77 จังหวัดทั่วไทย
ฟู้ดเดลิเวอรี เผชิญความท้าทายมาทุกยุคทุกสมัย
นางสาวจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย เผยว่า ตลอดระยะเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา ตลาดฟู้ดเดลิเวอรีในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านพฤติกรรมของผู้บริโภคและบริบททางการแข่งขันที่เปลี่ยนไป ซึ่ง Grab มองว่ามีทั้งโอกาสและความท้าทายที่มาควบคู่กันเสมอ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงของผู้เล่นในตลาดอยู่เป็นระยะ แต่ในแง่ของโมเดลธุรกิจ ฟู้ดเดลิเวอรีถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ต้องเผชิญกับความท้าทายมาทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะในแง่ของการสร้าง “สมดุล” ให้เกิดขึ้นในวงจรธุรกิจ เพราะในอีโคซิสเต็มของบริการฟู้ดเดลิเวอรีนี้มีทั้งลูกค้า คนขับ ผู้ประกอบการร้านอาหาร รวมถึงแพลตฟอร์ม การบริหารธุรกิจให้ทุกฝ่ายพึงพอใจและได้รับประโยชน์ร่วมกันมากที่สุดถือเป็นเป้าหมายสำคัญที่แพลตฟอร์มต้องเรียนรู้และปรับกลยุทธ์กันตลอดเวลา
จากความเคลื่อนไหวล่าสุด Grab ขอเป็นกำลังใจและพร้อมยืนหยัดเคียงข้างร้านค้า คนขับ และผู้ใช้บริการทุกท่านในช่วงเวลานี้ ขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นตอกย้ำว่ากลยุทธ์ที่ Grab ได้ปรับและดำเนินการมาในช่วง 2-3 ปีหลังนั้นมาถูกทางแล้ว โดยเรามุ่งเน้นสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่าง “ยั่งยืน” โดยให้ความสำคัญกับการรักษาสมดุลในวงจรธุรกิจเป็นอันดับแรก ซึ่งสะท้อนผ่านผลประกอบการที่แข็งแกร่ง โดยเป็นผู้เล่นเพียงรายเดียวที่สามารถทำกำไรต่อเนื่องมาเป็นปีที่สอง และสามารถครองความนิยมอันดับหนึ่งด้วยส่วนแบ่งตลาดของ GrabFood ที่มีถึง 46 % (อ้างอิงจากรายงานของ Momentum Works ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยชั้นนำที่น่าเชื่อถือในระดับภูมิภาค) จากในยุคแรกที่เริ่มด้วยการเผาเงินผ่านการให้ส่วนลดมากๆ เพื่อสร้างตลาด ซึ่งถือเป็นการสร้างอุปสงค์เทียม (Fake demand) มาเป็นการโฟกัสที่คุณภาพและมาตรฐานของการให้บริการเป็นหัวใจสำคัญ พร้อมพัฒนานวัตกรรมให้ตอบโจทย์ควบคู่ไปกับการสร้าง loyalty กับฐานลูกค้าหลักผ่านแพ็กเกจสมาชิก GrabUnlimited แต่ขณะเดียวกันก็ยังคงมีโปรโมชัน ให้ส่วนลดและทำแคมเปญเพื่อกระตุ้นตลาด
แน่นอนว่าการเข้าใจความเคลื่อนไหวของตลาดและคู่แข่งถือเป็นพื้นฐานในการทำธุรกิจ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการไม่หลุดจากวิสัยทัศน์และ “เป้าหมาย” (Purpose) อันเป็นแก่นสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร ซึ่งสำหรับ Grab เราไม่เคยหยุดมุ่งมั่นพัฒนาแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างโอกาสให้กับผู้คนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างต่อเนื่อง