zero-carbon

พพ.ดัน BEC อนุรักษ์พลังงานอาคาร ลดคาร์บอน 7.4 ล้านตัน

พพ. เร่งขับเคลื่อนบังคับใช้กฎหมาย BEC อาคารก่อสร้างใหม่และปรับปรุงใหม่ ออกแบบต้องอนุรักษ์พลังงานตามมาตรฐาน เชื่อช่วยลดใช้พลังงานลดลง 10-20% คาดปี 2580 ลดการใช้ไฟฟ้ารวม 13,700 หน่วย ประหยัดเงินกว่า 4.7 หมื่นล้านบาท ลดปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ 7.4 ล้านตัน

กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) อยู่ระหว่างจัดทำร่างแผนอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2565-2580 หรือ Energy Efficiency Plan : EEP 2022 ที่จะนำมาประกอบเป็นแผนพลังงานชาติ ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จประกาศใช้ประมาณกลางปี 2566 ร่างแผนอนุรักษ์พลังงานดังกล่าว ได้กำหนดเป้าหมายลดความเข้มข้นการใช้พลังงาน (Energy Intensity : EI) ลง 36% เมื่อเทียบกับปี พ.ศ.2553 หรือเป้าหมายผลประหยัดในปี 2580 เท่ากับ 35,497 พันตันเทียบเท่านํ้ามันดิบ (ktoe)

แยกเป็นด้านไฟฟ้า 8,761 ktoe และด้านความร้อน 26,736 ktoe จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 106 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO2) และมีเป้าหมายลด EI ลง 40% ภายในปี พ.ศ. 2593 เมื่อเทียบกับปี พ.ศ.2553 หรือเป้าหมายผลประหยัดในปี 2593 เท่ากับ 64,340 ktoe แบ่งเป็นในส่วนด้านไฟฟ้า 15,879 ktoe และด้านความร้อน 48,461 ktoe ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 193 MtCO2 เกิดผลประหยัดพลังงานที่ประหยัดได้ คิดเป็นมูลค่าราว 532,455 ล้านบาท (คำนวณจากราคานํ้ามันดิบ 1 ktoe เท่ากับ 15 ล้านบาท)

พพ.ดัน BEC อนุรักษ์พลังงานอาคาร ลดคาร์บอน 7.4 ล้านตัน

การขับเคลื่อนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ หนึ่งในมาตรการอนุรักษ์พลังงานที่สำคัญ เป็นเรื่องการบังคับใช้เกณฑ์มาตรฐานอาคารด้านพลังงาน (BEC) ที่พพ.ได้ออกกฎกระทรวงกำหนดประเภทหรือขนาดของอาคาร และมาตรฐานหลักเกณฑ์และวิธีการในการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2563 หรือเกณฑ์มาตรฐานอาคารด้านพลังงาน (Building Energy Code หรือ BEC) เพื่อควบคุมอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร ที่จะใช้บังคับอาคารก่อสร้างใหม่ หรือปรับปรุงดัดแปลงใน 9 ประเภทอาคาร

ได้แก่ โรงมหรสพตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร โรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม สถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ สถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล สถานศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ สำนักงานหรือที่ทำการ ห้างสรรพสินค้าหรือศูนย์การค้า อาคารชุดตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด และอาคารชุมนุมคนตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารที่มีขนาดพื้นที่รวมกันทุกชั้นในอาคารหลังเดียวตั้งแต่ 2,000 ตารางเมตรขึ้นไป โดยในปี 2564 เริ่มบังคับใช้กับอาคารที่มีขนาดพื้นที่ 10,000 ตารางเมตรขึ้นไป และในปี 2565 เริ่มบังคับใช้กับอาคารที่มีขนาดพื้นที่ 5,000 ตารางเมตรขึ้นไป

ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2566 มีผลบังคับใช้กับอาคารที่มีขนาดพื้นที่ 2,000 ตารางเมตรขึ้นไป ต้องออกแบบให้มีการใช้พลังงานในแต่ละส่วนที่กำหนดให้เป็นไปตามเกณฑ์การใช้พลังงานตามมาตรฐานขั้นต่ำ เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 6 ระบบ ได้แก่ ระบบเปลือกอาคาร (OTTV, RTTV)ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง (LPD) ระบบปรับอากาศ อุปกรณ์ผลิตนํ้าร้อน การใช้พลังงานโดยรวมของอาคาร และการใช้พลังงานหมุนเวียน ให้เป็นไปตามมาตรฐาน

นายสุรีย์ จรูญศักดิ์ รองอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ พพ.กำลังเร่งประสานงานสำนักงานควบคุมอาคาร สำนักการโยธากรุงเทพมหานคร สำนักควบคุมและตรวจสอบอาคาร กรมโยธาธิการและผังเมือง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สภาวิศวกร วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย สภาสถาปนิก และ สถาปนิกสยาม ร่วมกันผลักดันใช้กฎหมาย BEC ที่เป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนการขออนุญาตก่อสร้างหรือดังแปลงอาคาร ที่ต้องให้ผู้ประกอบการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด และเกิดการใช้พลังงานในอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

ทั้งนี้ มีเป้าหมายดำเนินงานกับอาคารราว 3,650 แห่งทั่วประเทศ จะสามารถลดการใช้พลังงานได้ 1,166 พันตันเทียบเท่านํ้ามันดิบ หรือสามารถประหยัดไฟฟ้าได้รวม 13,700 ล้านหน่วย คิดเป็นเงินกว่า 47,951 ล้านบาท ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ไดออกไซด์ได้ถึง 7.791 ล้านตัน ภายในปี 2580

ทั้งนี้ หากอาคารที่ออกแบบผ่านตามมาตรฐาน BEC จะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้ผู้ประกอบการได้ถึง10 - 20% ขึ้นอยู่กับวิธีการออกแบบอาคาร และการเลือกใช้วัสดุที่ช่วยลดการใช้พลังงาน อาทิ ระบบปรับอากาศมาตรฐานเบอร์ 5 คอนกรีตมวลเบา หลอด LED ฉนวนกันความร้อน กระจกเขียวหรือกระจกสองชั้น เป็นต้น โดยมีต้นทุนค่าใช้จ่ายเพิ่มเพียง 3-5 % และคืนทุนไม่เกิน 3 ปี แต่จะช่วยประหยัดต้นทุนได้ระยะยาว เนื่องจากอาคารมีอายุการใช้งานนาน 20-30 ปี

นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์องค์กรหรือธุรกิจที่ให้ความสำคัญและใส่ใจด้านประหยัดพลังงานและสิ่งแวดล้อม สร้างธุรกิจผู้ผลิตวัสดุอุปกรณ์ประหยัดพลังงานในอาคารเพิ่มขึ้น สร้างโอกาสในการจ้างงานเพิ่มขึ้น ยกระดับมาตรฐานวัสดุอุปกรณ์ประหยัดพลังงานในประเทศ สร้างมาตรฐานทางวิชาชีพ

นายสุรีย์ กล่าวอีกว่า นับตั้งแต่กฎกระทรวงฯ BEC มีผลบังคับใช้ พพ. ได้เตรียมความพร้อมด้านบุคคลากรมาอย่างต่อเนื่อง โดยจะจัดฝึกอบรมผู้ตรวจรับรองแบบอาคารให้กับวิศวกรและสถาปนิก ให้ได้การรับรองจาก พพ. จำนวน 1,200 คน ภายในปี 2566 อบรมให้ความรู้ความเข้าใจแนวทางการพิจารณาอนุญาตก่อสร้างอาคารตามเกณฑ์ BEC ให้กับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ซึ่งได้อบรมไปแล้วจำนวนกว่า 3,300 คนทั่วประเทศ

สร้างเครือข่ายส่งเสริมและสนับสนุนการออกแบบอาคารตามเกณฑ์ BEC ร่วมกับภาคเอกชนและภาครัฐมากกว่า 30 แห่ง รวมทั้งจะดำเนินการมอบฉลากแบบอาคารอนุรักษพลังงาน (BEC Awards) ให้แก่ อาคารที่ผ่านการตรวจการประเมินแบบอาคาร และมีผลประหยัดสูงกว่าเกณฑ์ BEC สามารถประหยัดพลังงานได้ 30% ขึ้นไป รวมกว่า 140 อาคาร

 หน้า 7 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3883 วันที่ 30 เมษายน – 3 พฤาภาคม พ.ศ. 2566