In Brief
ในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานคร อาหารที่ขายไม่หมดไม่ได้จบอยู่เพียงหลังร้านอาหาร แต่กลายเป็น “ขยะอาหาร” ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาหลักของระบบจัดการขยะเมือง และเป็นอุปสรรคต่อการผลักดันเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนในระยะยาว
ปี 2567 ประเทศไทยมีขยะอาหารกว่า 10.1 ล้านตัน/ปี หรือ 154 กิโลกรัม/คน/ปี สัดส่วนขยะอาหาร คิดเป็น 36.79% หรือราว 1 ใน 3 ของปริมาณมูลฝอยทั้งประเทศ 40% ยังรับประทานได้ และ 60% ไม่สามารถรับประทานได้
แหล่งกำเนิด สำคัญของ ขยะอาหาร ประกอบด้วย ตลาดสด มีปริมาณขยะอาหารถึง 77.26% จากปริมาณมูลฝอยโดยรวมที่เกิดขึ้น ห้าง/ร้าน มีปริมาณขยะอาหาร 54.94% สำนักงาน มีปริมาณขยะอาหาร 41.41% คอนโดมิเนียม มีปริมาณขยะอาหาร 40.98% โรงแรม มีปริมาณขยะอาหาร 37.03%วัด มีปริมาณขยะอาหาร 35.82% ครัวเรือน มีปริมาณขยะอาหาร 35.29% สถานศึกษา มีปริมาณขยะอาหาร 30.48%
นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารด้านความยั่งยืน กล่าวว่า ขยะอาหารหากถูกนำไปฝังกลบจะปล่อยก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของภาวะโลกร้อน ขณะที่การแยกขยะอาหารตั้งแต่ต้นทางสามารถช่วยลดปัญหาขยะได้อย่างมาก
กรณีความร่วมมือระหว่างกรุงเทพมหานครกับ KFC และ Scholars of Sustenance (SOS) เป็นตัวอย่างของการจัดการที่มุ่งไม่ให้เกิดขยะเนื่องจากการป้องกันไม่ให้ขยะเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นทาง ดีกว่าการปล่อยให้เกิดขยะแล้วค่อยนำมาแยกภายหลัง
อาหารที่ขายไม่หมด หากนำไปทิ้งจะต้องเข้าสู่ระบบบ่อฝังกลบของกรุงเทพมหานคร แต่หากอาหารเหล่านั้นยังสามารถรับประทานได้ การนำไปใช้ประโยชน์ก่อนทิ้งจะช่วยลดขยะอาหาร และในขณะเดียวกันยังสามารถส่งต่ออาหารให้กับชุมชนหรือกลุ่มเปราะบางที่ยังต้องการเข้าถึงอาหาร
เป็นการทำเรื่องเดียวได้สองเด้ง ทั้งลดขยะอาหาร และช่วยให้คนที่ต้องการอาหารได้รับมื้อที่ประหยัดค่าใช้จ่าย หากได้รับอาหารจาก KFC ก็เท่ากับช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายส่วนตัวของเขาไปได้หนึ่งมื้อ โครงการลักษณะนี้ถือเป็นโครงการที่มีความยั่งยืน และกรุงเทพมหานครพร้อมสนับสนุนความร่วมมือที่ช่วยแก้ปัญหาขยะและช่วยสังคมควบคู่กันไป
ในภาคธุรกิจอาหาร การผลิตอาหารเผื่อขายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อให้สามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องและทันเวลา อาหารที่ขายไม่หมดจึงเกิดขึ้นในทุกวัน
KFC เครือร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่มีสาขามากกว่า 150 ประเทศทั่วโลก และมีสาขาในประเทศไทยมากกว่า 1,200 สาขา ยอมรับว่า ไม่มีทางเป็นไปได้ที่ร้านอาหารจะไม่มีของเหลือ หากอาหารที่ขายไม่หมดถูกทิ้งทันที อาหารเหล่านั้นจะกลายเป็นขยะอาหาร และเข้าสู่ระบบจัดการขยะของกรุงเทพมหานครโดยตรง
แนวคิดดังกล่าวนำไปสู่โครงการ “KFC Harvest ไม่ทิ้งใคร…ให้ต้องหิว” หรือที่เรียกกันในชื่อ “ไก่น้อง” ซึ่งเป็นการนำอาหารส่วนเกินจาก KFC สาขาต่าง ๆ ส่งต่อให้กับชุมชนที่ต้องการ แทนการนำไปทิ้งเป็นขยะ โครงการนี้ดำเนินต่อเนื่องมากว่า 6 ปี ส่งมอบมื้ออาหารไปแล้วมากกว่า 400,000 มื้อ ใช้อาหารส่วนเกินได้มากกว่า 100 ตัน และช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 250 ตัน
แบรนด์ระดับโลกต้องคิดเกินกว่าหน้าร้าน
นางสาวภัทรา ภัทรสุวรรณ หัวหน้าฝ่ายบริหารแบรนด์ เคเอฟซี ประเทศไทย กล่าวว่า ด้วยความเป็นแบรนด์ระดับโลก KFC ต้องดำเนินงานภายใต้มาตรฐานที่เข้มงวด ซึ่งถือเป็นความท้าทายมากกว่าการดำเนินธุรกิจในระดับประเทศทั่วไป โดยเฉพาะการรักษาคุณภาพอาหาร และการจัดการของเสียให้สอดคล้องกับมาตรฐานเดียวกันในทุกสาขา
คำถามสำคัญคือ KFC จะสามารถสนับสนุนสังคมและชุมชนได้อย่างไร โดยที่ยังคงรักษามาตรฐานของแบรนด์ ทั้งในแง่คุณภาพอาหารและการจัดการขยะ ซึ่งเป็นโจทย์ที่องค์กรต้องคิดและออกแบบระบบรองรับอย่างรอบด้าน
ภัทราระบุว่า KFC อยู่ในประเทศไทยมากว่า 41 ปี และมีสาขาครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัด ทำให้แบรนด์แทบจะเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนในหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านเชิงนโยบายหรือเผชิญวิกฤติใดก็ตาม
เราอยู่กับชุมชนมาตลอด จึงมองตัวเองว่าเป็นพาร์ตหนึ่งของสังคม และพยายามดูว่าในแต่ละพื้นที่มีจุดไหนที่เราสามารถเข้าไปสนับสนุนได้ และจะเชื่อมโยงคุณค่าของบริษัทเข้ากับความต้องการของชุมชนได้อย่างไร
นอกจากนี้ยังอธิบายว่า คุณค่าหลักของ KFC คือการดูแลคุณภาพอาหารให้สดใหม่และมีมาตรฐาน ซึ่งไม่เพียงส่งผลต่อผู้บริโภค แต่ยังรวมถึงพนักงานและคนในละแวกชุมชนรอบสาขา ว่าจะสามารถช่วยเหลือหรือสร้างประโยชน์ร่วมกันได้ในรูปแบบใด
อีกหนึ่งประเด็นที่ KFC ให้ความสำคัญ คือการหาพาร์ตเนอร์ในระดับชุมชน เพื่อร่วมกันต่อยอดการทำงาน โดยมองว่าความร่วมมือในพื้นที่เป็นหัวใจของการทำงานอย่างยั่งยืน
แม้ในช่วงที่นโยบายภาครัฐอาจอยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านหรือมีบางเรื่องที่ชะลอไป แต่ภาคเอกชนก็ยังต้องเดินหน้าทำในสิ่งที่ควรทำอย่างต่อเนื่อง
ในประเทศไทย มี KFC สาขาที่เข้าร่วมโครงการมากกว่า 400 สาขา โดยตั้งเป้าเพิ่มเป็น 800 สาขาในปีถัดไป
แจเน็ต รุ้งสิทธิกุล ผู้จัดการการตลาดอาวุโส KFC Thailand ระบุว่า การขยายโครงการจำเป็นต้องดำเนินควบคู่กับการสร้างความพร้อมของทีมงานและพื้นที่ ไม่สามารถนำอาหารไปส่งต่อโดยไม่มีระบบรองรับได้
โดยในช่วงเริ่มต้น KFC ทำงานร่วมกับ SOS เป็นหลัก โดยใช้ระบบรถห้องเย็นรับอาหารจากสาขา อย่างไรก็ตาม โมเดลนี้มีข้อจำกัด เนื่องจากรถห้องเย็นส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่หัวเมือง เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ต ต่อมา KFC จึงขยายการทำงานไปสู่โมเดลอื่น เช่น การทำงานร่วมกับสถานสงเคราะห์ และการพัฒนาโมเดลใหม่ร่วมกับ SOS โดยใช้อาสาสมัครชุมชนเป็นผู้รับอาหารแทนรถห้องเย็น
ในโมเดลนี้ อาสาสมัครชุมชนจะได้รับการอบรมร่วมกับ SOS เพื่อให้สามารถรับอาหารจากสาขาได้โดยตรง โดยเฉพาะในจังหวัดที่ยังไม่มีรถห้องเย็น เช่น ขอนแก่น หรือจังหวัดใหม่ ๆ ที่เริ่มเข้าร่วมโครงการ
เกณฑ์คัดเลือกชุมชนและมาตรฐานความปลอดภัย
การคัดเลือกชุมชนที่จะรับอาหารส่วนเกิน ไม่ได้พิจารณาเพียงความต้องการอาหาร แต่ต้องผ่านเกณฑ์ด้านมาตรฐานด้วย โดย SOS จะประเมินระดับความเดือดร้อนของชุมชน แบ่งเป็นระดับ 1 ถึง 5 และให้ความช่วยเหลือระดับ 5 ก่อน เช่น พื้นที่ภัยพิบัติ กลุ่มผู้ตกงาน ผู้ป่วยติดเตียง และกลุ่มเปราะบาง
นอกจากนี้ ยังพิจารณาความพร้อมของชุมชน เช่น การมีครัวกลาง แม่ครัวที่ผ่านการอบรม และสภาพแวดล้อมที่สามารถจัดการอาหารได้อย่างปลอดภัย
ด้านการขนส่ง KFC จะพิจารณารัศมีระยะทางจากสาขาไปยังชุมชน เพื่อรักษาคุณภาพอาหาร โดยอาหารจะถูกแช่แข็งและต้องนำมาประกอบอาหารใหม่ก่อนแจกทุกครั้ง
ขั้นตอนจัดการ “ไก่น้อง” เพื่อความปลอดภัย
กระบวนการส่งต่อ “ไก่น้อง” จากร้านอาหารสู่ชุมชน เริ่มต้นจากสาขาเคเอฟซีที่เข้าร่วมโครงการ คัดแยกอาหารส่วนเกินซึ่งยังอยู่ในสภาพปลอดภัยและมีคุณภาพ ก่อนจัดเก็บในตู้แช่แข็งตามมาตรฐานที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด
จากนั้น มูลนิธิ SOS Thailand พันธมิตรด้านการกอบกู้อาหาร จะเข้ามารับอาหารจากสาขาในทุกวันพฤหัสบดี ด้วยรถที่ควบคุมอุณหภูมิ เพื่อรักษาคุณภาพอาหารตลอดการขนส่ง และนำไปยังเครือข่ายครัวชุมชน Colonel’s Kitchen ในพื้นที่ต่าง ๆ
เมื่ออาหารถึงปลายทาง เชฟ อาสาสมัคร และผู้นำชุมชนจะร่วมกันนำอาหารมาปรุงใหม่ให้พร้อมบริโภค ก่อนกระจายไปยังกลุ่มเปราะบางที่ขาดแคลนในแต่ละพื้นที่ กระบวนการทั้งหมดถูกออกแบบให้เชื่อมต่อกันตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง เพื่อให้อาหารที่ยังรับประทานได้ ไม่ต้องจบลงที่ถังขยะ แต่ถูกนำไปใช้ประโยชน์อีกครั้งในชุมชน
ไก่ที่นำมาส่งต่อคือไก่ที่หมดอายุการขายภายใน 90 นาที หลังจากวางบนตู้กระจก แต่ยังมีคุณภาพ และผ่านกระบวนการจัดเก็บอย่างเข้มงวด ได้แก่
หลังออกจากสาขา ไก่จะถูกขนส่งในถุงเก็บความเย็นไปยังชุมชนใกล้เคียง และต้องนำมาประกอบอาหารภายใน 1 เดือน โดยต้องแกะออกจากกระดูกและทอดใหม่ทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค
พาร์ทเนอร์และเครือข่ายที่ทำให้ระบบเดินได้
โครงการ KFC Harvest ทำงานร่วมกับหลายภาคส่วน หนึ่งในนั้นคือ Scholars of Sustenance (SOS) องค์กรไม่แสวงหากำไรที่รับอาหารส่วนเกินจากแหล่งต่าง ๆ เช่น โรงแรม ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านอาหาร เพื่อนำไปแจกจ่ายให้ผู้ขาดแคลน
SOS ทำหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพอาหาร ให้คำแนะนำด้านการเตรียมและอุ่นอาหารอย่างถูกต้อง และคัดเลือกชุมชนตามระดับความเดือดร้อน โดยให้ความสำคัญกับพื้นที่ภัยพิบัติ กลุ่มเปราะบาง และโรงเรียนที่มีงบประมาณอาหารจำกัด
จากร้านอาหาร สู่โรงเรียนและพื้นที่ห่างไกล
นายณัฐพล เกษมราษฎร์ Central Logistic & Donor Supervisor มูลนิธิ SOS Thailand ระบุว่า ในต่างจังหวัด ความต้องการอาหารมีมากกว่าพื้นที่กรุงเทพฯ ขณะที่จำนวนผู้บริจาคมีน้อยกว่า โดยเฉพาะโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลซึ่งมีงบประมาณอาหารกลางวันจำกัด บางแห่งเด็กนักเรียนอาจไม่เคยรับประทานเนื้อสัตว์มาก่อน
ปัจจุบันมีโรงเรียนจำนวนมากลงทะเบียนขอรับ “ไก่น้อง” และมีความต้องการต่อเนื่องจนเต็มข้ามเดือน ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นของระบบจัดการอาหารส่วนเกินในระดับพื้นที่
นอกจากนี้ KFC ยังทำงานร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมถึงอาสาสมัครในพื้นที่ เพื่อขนส่งและประกอบอาหารส่งต่อให้กับชุมชนที่อยู่นอกเครือข่ายของ SOS
จากของเหลือหลังร้าน สู่มื้ออาหารในชุมชนเมือง
เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2568 KFC ส่งมอบไก่น้องประจำสัปดาห์ให้กับชุมชนบ่อนไก่ เขตลุมพินี และเปิดครัวทำอาหารเมนู “ข้าวยำไก่แซ่บ” แจกจ่ายให้กับประชาชนในชุมชนกว่า 300 ครัวเรือน
หลังมีการประกาศว่า “KFC พร้อมแจก” ชาวบ้านก็มารวมตัวกันพร้อมภาชนะ และอาหารทั้งหมดถูกแจกหมดภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
นางพานทอง ศรีสวัสดิ์ คณะกรรมการชุมชนเคหะบ่อนไก่ ซึ่งทำหน้าที่เป็นแม่ครัวของชุมชนด้วย กล่าวว่า ทุกครั้งที่มีการแจกอาหาร จะเข้ามาช่วยปรุงและจัดเตรียมอาหารให้กับคนในชุมชน ซึ่งหลังจากมีการนำอาหารจากภายนอกเข้ามาช่วยเหลือ โดยเฉพาะอาหารจาก KFC และ Scholars of Sustenance (SOS) ทำให้บรรยากาศในชุมชนเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น คนในชุมชนมีความสุขที่ได้กินอาหารอร่อย และสามารถนำวัตถุดิบที่ได้รับมาปรุงเป็นเมนูได้หลากหลาย
อาหารที่เอามาทำสด ๆ ดีกว่าการเอาไปทิ้ง พอเรามีวัตถุดิบ เราก็เอามาปรุงแต่งได้ มีประโยชน์กับชุมชนมาก
โดยเล่าว่า ชุมชนเคหะบ่อนไก่มีการช่วยเหลือเรื่องอาหารต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมีหน่วยงานต่าง ๆ นำผักและวัตถุดิบมาสนับสนุน ซึ่งชุมชนจะนำมาปรุงอาหารแจกจ่ายให้กับคนในพื้นที่
พอมี KFC กับ SOS เอาอาหารมาให้เป็นประจำ กลุ่มเปราะบางในชุมชนก็ได้ประโยชน์ตรงนี้จริง ๆ
แม่ครัวของชุมชนเคหะบ่อนไก่ยังระบุว่า ทุกครั้งที่มีการแจกอาหาร ชุมชนจะมีการประกาศให้ผู้มารับอาหารนำภาชนะหรืออุปกรณ์มาเอง เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้บรรจุภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียว และลดการเกิดขยะภายในชุมชน
โครงการ KFC Harvest สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม โดยตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2568 เคเอฟซีสามารถเปลี่ยนอาหารส่วนเกินเป็นมื้ออาหารไปมากกว่า 2 ล้านมื้อ โดยมีเคเอฟซีมากกว่า 200 สาขาที่เข้าร่วม และครอบคลุม 25 จังหวัด
ในความร่วมมือระหว่างมูลนิธิเคเอฟซีและมูลนิธิ SOS Thailand ได้กอบกู้อาหารส่วนเกินรวมกว่า 100,455 กิโลกรัม และแปรรูปเป็นมื้ออาหารมากถึง 422,043 มื้อ เพื่อส่งต่อให้เด็ก ผู้สูงอายุ และครอบครัวกลุ่มเปราะบางใน 17 จังหวัดทั่วประเทศ
โดยมีร้านเคเอฟซีเข้าร่วมโครงการแล้ว 174 สาขา และได้รับความร่วมมือจากอาสาท้องถิ่นกว่า 214 คน ในการกระจายมื้ออาหารสู่ชุมชน โครงการยังมีบทบาทสำคัญในการลดปริมาณขยะอาหาร ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 254,151 กิโลกรัม ความสำเร็จของการดำเนินงานเหล่านี้สะท้อนความมุ่งมั่นของโครงการในการ “ส่งต่อความอิ่ม ไม่ทิ้งให้ใครต้องหิว” พร้อมสร้างสังคมแห่งการแบ่งปันและสนับสนุนเป้าหมายด้านความยั่งยืนในประเทศไทย
เคเอฟซี (KFC) เป็นหนึ่งในแบรนด์ร้านอาหารบริการด่วนที่ได้รับความนิยมทั่วโลก
ก่อตั้งโดยผู้พันฮาร์แลนด์ แซนเดอร์ส ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2495 ก่อนขยายธุรกิจสู่หลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย
ในประเทศไทย ร้านเคเอฟซีสาขาแรกเปิดให้บริการเมื่อปี พ.ศ. 2527 ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว และเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดกว่า 40 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบัน เคเอฟซีมีร้านมากกว่า 1,100 สาขาทั่วประเทศ (ข้อมูล ณ เดือนพฤษภาคม 2567) ครอบคลุมพื้นที่ทั้งในเมืองใหญ่และต่างจังหวัด
การบริหารแบรนด์และแฟรนไชส์ในประเทศไทยดำเนินการโดย บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับแฟรนไชส์ซี่อีก 3 ราย ได้แก่ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) บริษัท เรสเทอรองตส์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (RD) และบริษัท เดอะ คิวเอสอาร์ ออฟ เอเชีย จำกัด (QSA)
โครงสร้างดังกล่าวทำให้เคเอฟซีเป็นหนึ่งในเครือข่ายร้านอาหารที่มีสาขาครอบคลุมมากที่สุดในประเทศ และมีบทบาทเชื่อมโยงกับชุมชนในหลากหลายพื้นที่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง