In Brief
ปี 2025 เป็นปีที่ประเด็นสิ่งแวดล้อมโลกทวีความรุนแรง ตั้งแต่โลกร้อนเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เหตุสภาพอากาศสุดขั้ว ไปจนถึงการถอยหลังของกฎหมายสภาพภูมิอากาศในหลายประเทศ ขณะเดียวกัน การเติบโตของปัญญาประดิษฐ์เร่งความต้องการพลังงาน น้ำ และแร่สำคัญ สะท้อนวงจรความเสี่ยงใหม่ต่อเป้าหมาย Net Zero และความยั่งยืนระยะยาวของเศรษฐกิจโลก
ปีนี้เริ่มต้นด้วยงานวิจัยจากนักวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่า ปี 2024 เป็นปีแรกที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมตลอดทั้งปี นับตั้งแต่การศึกษานั้นในเดือนมกราคม โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ระบุว่า ประเทศต่าง ๆ จะไม่สามารถป้องกันไม่ให้อุณหภูมิโลกสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียสได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของความตกลงปารีสที่บรรลุเมื่อราว 10 ปีก่อน
โลกกำลังมุ่งหน้าไปสู่ภาวะโลกร้อนระดับ 2.3 ถึง 2.5 องศาเซลเซียส ความร้อนที่เพิ่มขึ้นหมายถึงเหตุสภาพอากาศสุดขั้วที่รุนแรงขึ้น ซึ่งได้รับการยืนยันจากงานวิจัยล่าสุดที่แสดงให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้น กับระลอกน้ำท่วมรุนแรงที่คร่าชีวิตผู้คนในเอเชียเมื่อเดือนที่แล้ว
แม้จะมีการเจรจา คำมั่นสัญญา และการประชุมสุดยอดมาหลายปี การปล่อยก๊าซเรือนกระจกกลับเพิ่มขึ้นถึงหนึ่งในสาม นับตั้งแต่การประชุมภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP) ครั้งแรกเมื่อ 3 ทศวรรษก่อน
การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลยังคงเพิ่มขึ้น ขณะที่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกเพิ่มขึ้น 34% นับตั้งแต่ปี 1995 ปัญหาคือ การพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างต่อเนื่องเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ระดับโลก
เมื่อต้นปีนี้ สหรัฐอเมริกาถอนตัวออกจากความตกลงปารีส หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งให้สหรัฐ “drill baby drill” และประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานของชาติ
ไม่ใช่แค่สหรัฐเท่านั้นที่หันหลังให้กับนโยบายสภาพภูมิอากาศในปีนี้ สหภาพยุโรปได้ปรับลดความเข้มงวดของกฎหมายสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การผ่อนคลายกฎการรายงานความยั่งยืนของภาคธุรกิจ ไปจนถึงการยกเลิกการแบนรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปใหม่ตั้งแต่ปี 2035 ภายใต้แรงกดดันจากอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาค
ในระดับโลก น้ำมัน ก๊าซ และถ่านหิน จะยังคงครองสัดส่วนหลักของโครงสร้างพลังงานโลกไปไกลเกินปี 2050 เนื่องจากความต้องการไฟฟ้าที่พุ่งสูง แซงหน้าการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานหมุนเวียน
แล้วอะไรเป็นแรงขับสำคัญของความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นนี้ คำตอบอยู่ที่ธีมสิ่งแวดล้อมสำคัญลำดับถัดไปของปี นั่นคือ AI
รายงานระบุว่า ความต้องการใช้ไฟฟ้ากำลังเพิ่มขึ้น โดยหลักมาจากภาคอุตสาหกรรมและอาคาร ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 20-40% ภายในปี 2050 และศูนย์ข้อมูลในอเมริกาเหนือถูกมองว่าเป็นตัวการหลักของการเพิ่มขึ้นดังกล่าว
จำนวนศูนย์ข้อมูล ซึ่งเป็นที่ตั้งของโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผล เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ตามการใช้งาน AI และคลาวด์คอมพิวติ้งที่ขยายตัวทั่วโลก สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) คาดว่า ความต้องการใช้ไฟฟ้าของศูนย์ข้อมูลทั่วโลกจะเพิ่มเป็นสองเท่าภายในปี 2030
ศูนย์ข้อมูลที่ใช้พลังงานสูงเหล่านี้ยังสร้างความท้าทายอีกด้านหนึ่ง คือการใช้น้ำ โดยศูนย์ข้อมูลจำนวนมากหันมาใช้น้ำหรือสารหล่อเย็นเฉพาะทางแทนการระบายความร้อนด้วยอากาศ เนื่องจากการระบายความร้อนด้วยของเหลวสามารถกำจัดความร้อนได้มีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้อากาศถึง 3,000 เท่า
น้ำ ทรัพยากรที่กลายเป็นประเด็นการเมือง
ปีนี้ น้ำกลายเป็นประเด็นทางการเมืองมากขึ้น เมื่อสหภาพยุโรปเสนอแผนประหยัดน้ำ เพื่อรับมือแรงกดดันต่อทรัพยากรน้ำของยุโรปจากภาคอุตสาหกรรมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมเพิ่มการลงทุนในภาคน้ำ รวมถึงการฟื้นฟูระบบนิเวศ เช่น พื้นที่ชุ่มน้ำ ที่ช่วยลดความรุนแรงของน้ำท่วม
ขณะเดียวกัน อินเดียและปากีสถานได้ยกระดับความตึงเครียดเดิมเกี่ยวกับการควบคุมแม่น้ำสินธุ
อินเดียพิจารณาแผนเพิ่มปริมาณน้ำที่สูบจากแม่น้ำสินธุอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นแหล่งน้ำหล่อเลี้ยงภาคเกษตรของปากีสถานตอนปลายน้ำ เพื่อตอบโต้เหตุโจมตีนักท่องเที่ยวในเดือนเมษายนที่อินเดียกล่าวโทษว่าเกี่ยวข้องกับอิสลามาบัด
ยังไม่รวมถึงกรณีของ Thames Water ในสหราชอาณาจักร กิจการสาธารณูปโภคแห่งนี้เผชิญวิกฤตหนี้สินที่ทวีความรุนแรง และกลายเป็นสัญลักษณ์ของความล้มเหลวของระบบน้ำที่แปรรูปเป็นเอกชนของอังกฤษ จากปัญหาการปล่อยน้ำเสียลงสู่สิ่งแวดล้อม
แร่สำคัญและสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก
ประเทศในกลุ่มโลกเหนือพยายามเร่งจัดหาแร่สำคัญ ซึ่งจำเป็นต่อสมาร์ตโฟน รถยนต์ไฟฟ้า และการก่อสร้างศูนย์ข้อมูลที่ขับเคลื่อน AI
สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกเป็นศูนย์กลางของความพยายามดังกล่าว เนื่องจากประเทศในแอฟริกานี้อุดมไปด้วยโคบอลต์ ลิเทียม ยูเรเนียม ดีบุก ทังสเตน แทนทาลัม ทองคำ เพชร ทองแดง ถ่านไม้ และไม้แปรรูป
ผู้สื่อข่าว Reuters เดินทางไปยังเมืองรูบายาในเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นพื้นที่ผลิตโคลแทนราว 15% ของโลก โดยทั้งหมดขุดด้วยแรงงานคนในท้องถิ่นที่มีรายได้เพียงไม่กี่ดอลลาร์ต่อวัน
ขณะที่ผู้ประกอบการสหรัฐบางรายให้ความสนใจโคลแทนจากรูบายาในช่วงที่ทรัมป์พยายามเป็นคนกลางเจรจาสันติภาพเพื่อยุติความขัดแย้งและ ส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรแร่ของภูมิภาค ปัจจุบัน ภาคเหมืองแร่เชิงพาณิชย์ของคองโกยังถูกครอบงำโดยบริษัทจีนเป็นหลัก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง