In Brief
หนึ่งทศวรรษหลังจากที่ประเทศเกือบทั้งหมดทั่วโลกเจรจาและรับรองความตกลงปารีส เป้าหมายในการจำกัดภาวะโลกร้อนให้อยู่ที่ 1.5 องศาเซลเซียสกำลังถูกบ่อนทำลายอย่างรุนแรง ไม่ใช่เพียงจากการเพิ่มขึ้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น แต่ยังมาจากความเหลื่อมล้ำเชิงลึกด้านความรับผิดชอบของแต่ละประเทศ
ความตกลงปารีสได้รับการรับรองโดยภาคี 195 ประเทศ ในการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ (COP21) ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2015 และมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน 2016 เป้าหมายหลักของความตกลงคือการควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยโลกให้อยู่ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียสอย่างมีนัยสำคัญ และพยายามจำกัดไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม
ปรากฏการณ์ “ความเหลื่อมล้ำด้านคาร์บอน” ถูกสะท้อนอย่างชัดเจนในรายงานของ Oxfam ปี 2025 ซึ่งระบุว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเฉลี่ยต่อวันของประชากรกลุ่มที่ร่ำรวยที่สุด 0.1% ของโลก สูงกว่าการปล่อยรวมตลอดทั้งปีของประชากรที่ยากจนที่สุด 50% หากทุกคนดำรงชีวิตในระดับการปล่อยเทียบเท่ากลุ่มผู้ปล่อยสูงสุดนี้ งบประมาณคาร์บอนของโลกจะถูกใช้หมดภายในเวลาเพียงสามสัปดาห์
ความเหลื่อมล้ำดังกล่าวสะท้อนในระดับประเทศเช่นกัน ข้อมูลจาก Global Carbon Budget ปีล่าสุดชี้ให้เห็นว่า โลกกำลังถูกแบ่งออกเป็นสองขั้ว ได้แก่ เศรษฐกิจที่มีการปล่อยก๊าซสูง และประเทศที่แทบไม่มีความรับผิดชอบทางประวัติศาสตร์ต่อมลพิษ แต่กลับมีการเพิ่มขึ้นของการปล่อยต่อหัวในอัตราที่น่ากังวล
การวิเคราะห์ต่อไปนี้ อ้างอิงจากชุดข้อมูล Global Carbon Budget ปี 2025 แสดงให้เห็นประเทศที่มีการปล่อยก๊าซต่อหัวสูงที่สุด ประเทศที่มีการเพิ่มขึ้นของรอยเท้าคาร์บอนเร็วที่สุดนับตั้งแต่ปี 2015 และความสัมพันธ์ระหว่างความมั่งคั่งของประเทศกับความเข้มข้นด้านคาร์บอน
การจัดอันดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ต่อหัวของประเทศต่าง ๆ ในปี 2024 ถูกครอบงำโดยประเทศที่มีรูปแบบเศรษฐกิจใช้ทรัพยากรเข้มข้น อันดับหนึ่งคือกาตาร์ ด้วยการปล่อยต่อหัว 41.3 ตัน ซึ่งมีที่มาหลักจากอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติเหลวขนาดใหญ่และโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้พลังงานสูง
ประเทศใน 20 อันดับแรกส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลรายสำคัญ โดยเฉพาะในภูมิภาคอ่าวอาหรับ เช่น คูเวต (26.2 ตัน) บาห์เรน (23.9 ตัน) และซาอุดีอาระเบีย (19.8 ตัน) รวมถึงประเทศผู้ส่งออกพลังงานอื่น ๆ อย่างบรูไน (23.1 ตัน) และตรินิแดดและโตเบโก (21.8 ตัน) ขณะเดียวกัน ประเทศพัฒนาแล้วฝั่งตะวันตก เช่น สหรัฐอเมริกา (14.2 ตัน) ออสเตรเลีย (14.5 ตัน) และแคนาดา (13.4 ตัน) ก็อยู่ในกลุ่มนี้เช่นกัน
ข้อมูลชี้ว่าการปล่อยต่อหัวที่สูงที่สุดกระจุกตัวอยู่ในประเทศที่ความมั่งคั่งผูกโยงโดยตรงกับการสกัดและส่งออกเชื้อเพลิงฟอสซิล ความพึ่งพานี้ก่อให้เกิดความท้าทายสำคัญ เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์เรียกร้องให้ยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ส่งผลให้โครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้เผชิญความเสี่ยง ความเต็มใจ ความสามารถ และความรวดเร็วในการปรับเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ จึงกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดทิศทางของการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศในระดับโลก
หลังความตกลงปารีส การเพิ่มการปล่อยย้ายสู่ประเทศกำลังพัฒนา
แม้ความสนใจมักมุ่งไปที่ประเทศผู้ปล่อยก๊าซรายใหญ่ในเชิงปริมาณรวม แต่เมื่อพิจารณาอัตราการเติบโตนับตั้งแต่ปีฐานของความตกลงปารีส (2015) จะพบแนวโน้มที่แตกต่างออกไป รายชื่อประเทศที่มีการเพิ่มขึ้นของการปล่อยต่อหัวเร็วที่สุด ถูกครอบงำโดยประเทศกำลังพัฒนาและประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่
อันดับหนึ่ง หมู่เกาะโคโมโรสในแอฟริกาตะวันออก ซึ่งมีการเพิ่มขึ้นของการปล่อยต่อหัวสูงถึง 157.6% ระหว่างปี 2015–2024 รองลงมาคือประเทศในเอเชีย ได้แก่ เนปาล (155.2%) กัมพูชา (136.8%) ลาว (132.6%) และกายอานาในอเมริกาใต้ (109.7%) ซึ่งกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วจากการค้นพบน้ำมันใหม่
แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนจุดเปลี่ยนสำคัญ ขณะที่หลายประเทศกำลังพัฒนาเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจ การขาดการเข้าถึงเทคโนโลยีสะอาดและการลงทุนที่ยั่งยืน อาจทำให้ประเทศเหล่านี้ติดกับดักระบบที่ปล่อยคาร์บอนสูง การเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละที่สูงตอกย้ำความจำเป็นของเงินทุนด้านสภาพภูมิอากาศระดับโลก เพื่อสนับสนุนการก้าวกระโดดสู่การพัฒนาที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ
ความมั่งคั่งหมายถึงรอยเท้าคาร์บอนที่ใหญ่กว่า
รูปแบบการกระจายตัวทางภูมิศาสตร์ของการปล่อยก๊าซในปี 2024 แสดงให้เห็นความสัมพันธ์โดยตรงและชัดเจนกับรายได้ของประเทศ เมื่อจัดกลุ่มข้อมูลจากกว่า 100 ประเทศตามการจำแนกรายได้ของธนาคารโลก พบว่าประเทศรายได้สูงมีการปล่อยคาร์บอนต่อหัวเฉลี่ย 5.81 ตัน ขณะที่ประเทศรายได้ปานกลางค่อนข้างสูงลดลงเหลือ 1.86 ตัน และประเทศรายได้ปานกลางค่อนข้างต่ำมีเพียง 0.27 ตัน ซึ่งต่ำกว่ากลุ่มรายได้สูงมากกว่ายี่สิบเท่า
ความเหลื่อมล้ำนี้สะท้อนแก่นของปัญหาความเป็นธรรมด้านสภาพภูมิอากาศ ประเทศรายได้สูงซึ่งมีความรับผิดชอบทางประวัติศาสตร์มากที่สุดและมีศักยภาพทางการเงินในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่าน กลับยังคงมีรอยเท้าคาร์บอนต่อหัวสูงที่สุด ขณะที่ประเทศรายได้น้อยซึ่งมีส่วนก่อปัญหาน้อยที่สุด ต้องเผชิญภาระซ้อนทั้งความยากจนและผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้น พร้อมกับแรงกดดันจากความจำเป็นในการพัฒนาที่ผลักดันให้การปล่อยเพิ่มขึ้นจากฐานที่ต่ำ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง