net-zero

CBAM อียูเริ่มเต็มรูปแบบ 1 ม.ค.2026 เขย่าการค้าโลก-ราคาคาร์บอน

In Brief

  • มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป จะเริ่มบังคับใช้เต็มรูปแบบในวันที่ 1 มกราคม 2026 โดยจะเรียกเก็บต้นทุนตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากสินค้านำเข้า
  • นโยบาย CBAM ของอียูได้กระตุ้นให้หลายประเทศ เช่น แคนาดา สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร พิจารณาใช้มาตรการลักษณะเดียวกัน เพื่อป้องกันการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมผ่อนปรนกว่า
  • ภาคธุรกิจส่งออก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ปล่อยคาร์บอนสูง จำเป็นต้องเร่งเตรียมความพร้อมรับมือ โดยการวางแผนเชิงกลยุทธ์ ปรับปรุงกระบวนการผลิต และบูรณาการต้นทุนคาร์บอนเข้ากับการตัดสินใจลงทุน

กลไกปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) จะเข้าสู่ระยะบังคับใช้เต็มรูปแบบในวันที่ 1 มกราคม 2026 และจะกลายเป็นนโยบายปรับคาร์บอนชายแดน (Border Carbon Adjustment: BCA) แรกของโลกที่ดำเนินการอย่างสมบูรณ์ โดยเริ่มเรียกเก็บต้นทุนตามความเข้มของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากสินค้านำเข้า นับเป็นครั้งแรกที่ราคาคาร์บอนในเขตอำนาจศาลหนึ่งถูกขยายผลออกไปนอกพรมแดนของตนเอง

สหภาพยุโรปไม่ได้เป็นเพียงฝ่ายเดียวที่พิจารณาใช้กลไกปรับคาร์บอนชายแดนเป็นเครื่องมือในการลดการรั่วไหลของคาร์บอน (carbon leakage) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่การผลิตสินค้าที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถูกย้ายไปยังประเทศที่มีกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดน้อยกว่า

งานวิจัยระบุว่า การรั่วไหลของคาร์บอนสามารถลดทอนประสิทธิผลของนโยบายการกำหนดราคาคาร์บอนภายในประเทศได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยอาจชดเชยผลการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ราว 13% ตามผลการศึกษาล่าสุดขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ในภาคอุตสาหกรรมอะลูมิเนียม ปูนซีเมนต์ และเหล็ก

ภายหลังช่วงนำร่องของ CBAM ของสหภาพยุโรประหว่างปี 2023–2025 หลายเขตอำนาจศาลอื่น ๆ รวมถึงแคนาดา สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และตุรเคีย ต่างอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้มาตรการปรับคาร์บอนชายแดนของตนเอง สะท้อนแนวโน้มที่นโยบายลักษณะเดียวกันอาจเพิ่มจำนวนขึ้นในช่วงหลายปีข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม มาตรการปรับคาร์บอนชายแดนยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียง โดยฝ่ายคัดค้านมองว่าเป็นมาตรการทางการค้าฝ่ายเดียวและเป็นรูปแบบหนึ่งของการคุ้มครองทางการค้าที่อ้างความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (green protectionism)

แม้จะเป็นประเด็นข้อพิพาททั้งในการประชุม COP30 และภายในองค์การการค้าโลก (WTO) แต่ CBAM ของสหภาพยุโรปก็เตรียมเข้าสู่การบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่ปี 2026 พร้อมต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นในแต่ละปี เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ดังกล่าว บริษัททั่วโลก โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงและพึ่งพาการส่งออกอย่างเข้มข้น ต่างเร่งเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับ CBAM ของอียูและยุคใหม่ของการขยายตัวของมาตรการปรับคาร์บอนชายแดน

World Economic Forum เเนะนำการเตรียมความพร้อมต่อ BCA และการใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้น ด้วยการปรับโครงสร้างความเชื่อมโยงระหว่างนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศและการค้า มาตรการปรับคาร์บอนชายแดนอาจสร้างโอกาสใหม่ในการเชื่อมโยงการลดคาร์บอนเข้ากับความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจ จากการวิเคราะห์บริษัทชั้นนำในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่

มีการนำเสนอข้อเสนอแนะเพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสเหล่านี้ ซึ่งได้ขยายรายละเอียดไว้ในเอกสาร white paper เรื่อง Climate and Competitiveness: Border Carbon Adjustments in Action ของเวทีเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) และ Climate Finance Asia

สำหรับบริษัทที่มุ่งเน้นการส่งออก CBAM กำลังเปลี่ยนวิธีที่กลยุทธ์ธุรกิจผนวกการบริหารจัดการคาร์บอนเข้าไป ในระยะสั้นช่วง 1–3 ปี บริษัทสามารถดำเนินการวางแผนเชิงสถานการณ์ ประเมินความเสี่ยง และพิจารณากำหนดการบังคับใช้ BCA เพื่อคาดการณ์ผลกระทบด้านการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และการค้า รวมถึงพิจารณาการจัดทำระบบการกำหนดราคาคาร์บอนภายในองค์กร (Internal Carbon Pricing: ICP) เพื่อบูรณาการต้นทุนคาร์บอนเข้าสู่การจัดทำงบลงทุนและการตัดสินใจด้านการลงทุนอย่างเป็นระบบ

ควบคู่กันนั้น บริษัทสามารถเริ่มนำระบบดิจิทัลสำหรับการติดตาม การรายงาน และการทวนสอบ (Monitoring, Reporting and Verification: MRV) รวมถึงเครื่องมืออัตโนมัติในการติดตามการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาใช้ พร้อมทั้งดำเนินการประเมินวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Life-Cycle Assessment) สำหรับสินค้าหลักโดยผ่านการรับรองจากบุคคลที่สาม

นอกจากนี้ สามารถจัดตั้งโครงสร้างธรรมาภิบาลเฉพาะด้าน โดยอาศัยกรอบ PACE (Plan, Achieve, Change, Engage) ดังนี้ วางแผนโดยพัฒนากลไกธรรมาภิบาลภายใน และบูรณาการการกำหนดราคาคาร์บอนเข้ากับการวางแผนเชิงกลยุทธ์และการเงิน

บรรลุการปฏิบัติตามกฎระเบียบคาร์บอนทั้งในประเทศและมาตรการปรับคาร์บอนชายแดนระหว่างประเทศ ปรับเปลี่ยนโดยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการดำเนินงาน ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบจนถึงการส่งมอบสินค้า  มีส่วนร่วมโดยประสานงานระหว่างทีมกฎหมาย การเงิน การดำเนินงาน และสิ่งแวดล้อม ทำงานร่วมกับผู้ตรวจประเมินหรือพันธมิตรภายนอก รวมถึงร่วมมือกับผู้กำหนดนโยบาย ภาคประชาสังคม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

การมีส่วนร่วมกับห่วงโซ่อุปทานก็มีความสำคัญเช่นกัน โดยบริษัทสามารถพิจารณารวบรวมข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากต้นน้ำของซัพพลายเออร์ กำหนดมาตรฐานการรายงานในระดับซัพพลายเออร์ และให้ความสำคัญกับการจัดหาปัจจัยการผลิตที่มีคาร์บอนต่ำกว่า

ในระยะยาวช่วง 3–10 ปีขึ้นไป บริษัทสามารถพิจารณาการปรับโครงสร้างเชิงลึกมากขึ้น เช่น การยกระดับเทคโนโลยี การปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดการปล่อยจากกระบวนการหรือการใช้พลังงาน รวมถึงการนำเชื้อเพลิงหรือแหล่งพลังงานที่สะอาดกว่ามาใช้ เมื่อมีความเป็นไปได้ในเชิงเทคนิคและเศรษฐกิจ