In Brief
ในการประชุมคณะอนุกรรมการพยากรณ์และจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) มีนายทศพร ศิริสัมพันธ์ เป็นประธานคณะอนุกรรมการฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เข้าร่วมประชุม ได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการฯ เร่งรัดจัดทำแผนพีดีพีให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน เพื่อให้ประเทศมีทิศทางที่ชัดเจนในการวางแผนพลังงาน และรับการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้ ในงานสัมมนา “ความท้าทายพลังงานไทย เปลี่ยนผ่านอย่างไรให้ยั่งยืน” จัดโดยศูนย์ข่าวพลังงาน Energy News Center นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน ชี้ให้เห็นว่า การจัดทำแผนพีดีพีฉบับใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับการยกระดับการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contribution: NDC) ฉบับที่ 2 หรือ NDC 3.0 ของประเทศไทย ที่เสนอต่ออนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC)
มีเป้าหมายที่จะให้ประเทศลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเหลืออยู่ที่ 152 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า(MtCO₂eq) ภายในปี 2578 หรือลดลงราว 47% จากปีฐาน 2562 ที่ปล่อยอยู่ที่ 379.2 MtCO2eq ซึ่งจะส่งผลให้ไทยบรรลุ Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี หรือภายในปี 2593 นั้น
การบรรจุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก หรือ SMR เข้าไปอยู่ในแผนพีดีพีจึงถือว่ามีส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศบรรลุเป้าหมาย Net Zero เร็วขึ้นและตอบโจทย์นโยบายของกระทรวงพลังงาน 3 ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และพลังงานคาร์บอนตํ่า ประกอบกับให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องรับทราบนโยบายของรัฐบาลในการเดินหน้า SMR และเตรียมความพร้อมในการพัฒนา ซึ่งแต่เดิมโรงไฟฟ้า SMR ได้ถูกบรรจุอยู่ในร่างแผนพีดีพี 2024 ขนาด 300 เมกะวัตต์ ไว้จำนวน 2 โรง แต่เมื่อมีการยกระดับ NDC 3.0 แผนพีดีพีที่จะจัดทำขึ้นมาใหม่ จะมีการขยายกำลังการผลิตมากขึ้น ซึ่งอาจจะมีมากกว่า 1,200 เมกะวัตต์ เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความสนใจทั่วโลก ที่จะมาตอบโจทย์ Net Zero
ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่มีความยืดหยุ่นและการใช้งานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการรองรับระบบ Hybrid Energy โดยใช้ร่วมกับพลังงานหมุนเวียนได้ สามารถเพิ่มจำนวนโมดูลเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าได้ ใช้ทดแทนโรงไฟฟ้าฟอสซิลเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โอกาสการเกิดอุบัติเหตุลดลง จัดการเหตุการณ์ฉุกเฉินได้โดยไม่ต้องใช้ไฟฟ้าและเจ้าหน้าที่
ขณะที่โรงไฟฟ้ามีขนาดเล็กลง ทำให้ต้นทุนตํ่าและลดความเสี่ยงทางการเงิน ลดเวลาในการก่อสร้าง เนื่องจาก SMR ประกอบเบ็ดเสร็จจากโรงงานผู้ผลิต ใช้งานได้หลากหลายเหมาะกับพื้นที่ที่มีโครงข่ายไฟฟ้าขนาดเล็กหรือพื้นที่ห่างไกล และสะดวกต่อการขนส่ง
นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า ส่วนการจะมอบหมายให้หน่วยงานใดดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้า SMR นั้น ร่างแผนพีดีพีเดิมได้ระบุให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) เป็นผู้ดำเนินงาน แต่เนื่องจากปัจจุบันเอกชนหลายหน่วยงานมีการศึกษาและเตรียมพร้อมในการพัฒนา SMR ดังนั้น มองว่า หากเอกชนรายใดมีความพร้อมก่อนก็สามารถดำเนินการควบคู่ไปกับกฟผ.ได้ ในการรองรับนักลงทุนที่ต้องการไฟฟ้าสีเขียว ซึ่งปัจจุบันพบว่าเอกชนหลายรายหรือพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งมีควาพร้อมด้านพื้นที่รองรับแล้ว
นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า สำหรับจัดทำแผนพีดีพีฉบับใหม่ คาดว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนมกราคม 2569 หลังจากนั้นจะรับฟังความคิดเห็น ก่อนนำเสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (พช.) พิจารณาเห็นชอบ ซึ่งการบรรจุโรงไฟฟ้า SMR ในนร่างเดิม ขนาดกำลังผลิต 300 เมกะวัตต์ จำนวน 2 โรง กำหนดจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ไว้ในช่วงปี 2579-2580 ซึ่งพีดีพีฉบับใหม่ อาจจะขยับเข้ามาในระบบเร็วขึ้น ซึ่งอยู่ระหว่างพิจารณาความพร้อมในเด้านต่าง ๆ ทั้งเทคโนโลยี ข้อกฎหมายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
“การใช้เทคโนโลยี SMR ปัจจุบันกระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมและพัฒนาหลักเกณฑ์ที่ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) กำหนดไว้ เพื่อสามารถผลักดันและดำเนินการให้แล้วเสร็จในปี 2580 เช่น การสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชน การพิจารณาปรับปรุงกฎหมาย/กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง สร้างความร่วมมือกับประเทศที่มี SMR และองค์กรพลังงานนิวเคลียร์ระหว่างประเทศ และการพัฒนาบุคลากรด้านพลังงานนิวเคลียร์ เพื่อสร้างตลาดแรงงานในประเทศ เป็นต้น”
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้เชี่ยวชาญนโยบายพลังาน สะท้อนให้เห็นว่า เพื่อให้ไทยบรรลุ Net Zero ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ การบรรจุโรงไฟฟ้า SMR อยู่ในแผนพีดีพี ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยประเทศลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มาก ซึ่งในร่างแผนพีดีพีเดิมที่บรรจุกำลังผลิตไว้เพียง 600 เมกะวัตต์ ถือว่าน้อยไป ดังนั้นแผนพีดีพีที่จัดทำขึ้นใหม่จะต้องเพิ่มกำลังผลิตมากขึ้นไปอีก ส่วนจะเป็นปริมาณเทาใดนั้น ต้องขึ้นกับการพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าในอนาคต และสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนที่จะเข้ามาในระบบมีมากน้อยเพียงใดด้วย รวมถึงการผลิตไฟฟ้าใช้เองด้วย
สำหรับ NDC 3.0 ได้กำหนดเป้าหมายลดปล่อยเรือนกระจกในภาคพลังงานลงให้ได้ 68.1 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ภายในปี 2578 การพัฒนาโรงไฟฟ้า SMR ถือเป็นหนึ่งในโครงการที่ต้องการขอรับสนับสนุนจากต่างประเทศในรูปแบบต่างๆ (เงินอุดหนุน เงินกู้ดอกเบี้ยตํ่า เงินคํ้าประกัน และเงินลงทุน) ราว 25.43 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อที่จะลดการปล่อยคาร์บอนฯให้ได้ที่ 2 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี มีต้นทุนสูงในการลดก๊าซเรือนกระจกอยู่ราว 12.72 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง