In Brief
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้มีโอกาสฟังการบรรยายของ ดร.กรรณิการ์ ธรรมพานิชวงค์ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ในงานสัมมนา “ความท้าทายพลังงานไทย เปลี่ยนผ่านอย่างไรให้ยั่งยืน” จัดโดยศูนย์ข่าวพลังงาน Energy News Center ดร.กรรณิการ์ ได้ชี้ให้เห็นถึงประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายในการลดก๊าซเรือนกระจกในหลายมิติ โดยเฉพาะการสร้างแรงจูงใจให้ภาคส่วนต่าง ๆ ร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้บรรลุเป้าหมายกการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์(Net Zero) เร็วขึ้น 15 ปี หรือภายในปี 2593
สำหรับความท้าทายที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนตํ่าของประเทศไทยนั้น จะมีอยู่ด้วยกัน 4 ประการหลัก ได้แก่
1.ข้อจำกัดด้านเงินทุนและเทคโนโลยี ซึ่งธุรกิจไทยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะ SMEs ยังเผชิญกับ ต้นทุนทางเทคโนโลยีที่ค่อนข้างสูง ในการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตไปสู่เทคโนโลยีสะอาด และยังมีข้อจำกัดในการเข้าถึง แหล่งเงินทุน หรือ Climate Finance เพื่อใช้ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม
2.ปัญหาการยึดติดกับเชื้อเพลิงฟอสซิล ปัญหา “fossil fuel lock-in” หรือ “carbon lock-in” ที่เกิดจากโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและอุตสาหกรรมในปัจจุบัน ยังคงพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างเหนี่ยวแน่น หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ปัญหานี้อาจส่งผลทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนตํ่าต้องล่าช้าหรือไม่เกิดขึ้น
3.การขาดกลไกกำหนดราคาคาร์บอนที่ชัดเจน ซึ่งการลดก๊าซเรือนกระจกถือเป็น สินค้าสาธารณะ (public good) ที่ทุกคนได้รับประโยชน์ร่วมกัน การขาดมาตรการ กำหนดราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) ที่เหมาะสม เช่น ภาษีคาร์บอน หรือ ETS (Emission Trading Scheme) ทำให้ภาคธุรกิจ ขาดแรงจูงใจ ในการแบกรับต้นทุนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้
4.กฎหมายและกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค ซึ่งกฎหมายและกฎระเบียบในปัจจุบันยัง ไม่จูงใจ ให้ภาคธุรกิจพัฒนาพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) และลงทุนในเทคโนโลยีลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายไฟฟ้าเสรี หรือการดำเนินโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCUS)
ดังนั้น เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านสู่เป้าหมาย Net Zero ของประเทศไทยเป็นไปได้อย่างยั่งยืนและรวดเร็ว ดร.กรรณิการ์ มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สำคัญ 8 ประการ ที่ควรได้รับการผลักดัน ได้แก่ การปลดล็อกกฎหมายและกฎระเบียบ ที่ต้องเร่งปรับปรุง เนื่องจากเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนลดก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะกฎหมายและกฎระเบียบเกี่ยวกับการกำกับการซื้อขายไฟฟ้า และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCUS)
การเร่งผลักดันร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้เข้าสูการพิจารณาของรัฐสภา
การออกแบบมาตรการกำหนดราคาคาร์บอน ที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย เพื่อทำให้ธุรกิจ Internalize หรือกระบวนการที่ภาครัฐใช้มาตรการทางเศรษฐศาสตร์เพื่อบังคับหรือจูงใจให้ผู้ผลิต รวมเอาต้นทุนภายนอกที่เกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เข้าไปในการคำนวณต้นทุนการผลิตของตนเอง
การสนับสนุนให้ภาคส่วนต่าง ๆ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน สำหรับการดำเนินงานด้านการลดก๊าซเรือนกระจก เช่น สินเชื่อสีเขียว (Green Loan) และพันธบัตรสีเขียว (Green Bond) การสร้างความตระหนักรู้ ให้กับผู้บริโภคและภาคธุรกิจให้เห็นถึงความสำคัญของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อสร้างแรงกดดันจากตลาดและผู้บริโภค
การสนับสนุนให้ภาคธุรกิจตรวจวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขององค์กรและผลิตภัณฑ์อย่างสมํ่าเสมอ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการวางแผนและดำเนินมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการพัฒนาระบบตรวจวัด รายงานผล และทวนสอบ (MRV) การปล่อยและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นมาตรฐานสากล เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับข้อมูลคาร์บอนของประเทศ
อีกทั้ง มีมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบ ของการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนตํ่าต่อกลุ่มเปราะบาง (Just Transition) เช่น การปรับปรุงเงินอุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิล และการใช้มาตรการคุ้มครองทางสังคมเพื่อลดแรงต่อต้านทางการเมือง
ทั้งหมดนี้ หากได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย การที่ประเทศจะบรรลุ Net Zero ได้เร็วขึ้น ก็ยังมีโอกาสเป็นไปได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง