‘ชาทิตย์’ นำทัพเชฟรอนฯ สู่ Green Growth สร้างความมั่นคงพลังงาน สังคมคาร์บอนตํ่า

06 ธ.ค. 2568 | 03:00 น.

บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด องค์กรพลังงานระดับโลกดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมานานกว่า 6 ทศวรรษ ช่วยการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ

KEY

POINTS

  • นายชาทิตย์ ห้วยหงษ์ทอง นำเชฟรอนฯ ภายใต้นโยบาย “Green Growth” ที่มุ่งสร้างสมดุลระหว่างการจัดหาพลังงานที่มั่นคงกับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยตั้งเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593
  • สร้างความมั่นคงทางพลังงานให้ประเทศผ่านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด ครม. ได้อนุมัติต่ออายุสัมปทานแหล่งไพลินไปอีก 10 ปี เพื่อรักษาระดับการผลิตก๊าซธรรมชาติ
  • ขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำผ่านการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี เช่น การนำแท่นหลุมผลิตเก่ากลับมาใช้ใหม่ (Topsides Reuse) การใช้พลังงานหมุนเวียนบนแท่นผลิต และการตั้งศูนย์ควบคุมปฏิบัติการ (IOC) เพื่อลดการปล่อยคาร์บอน

ผ่านการดำเนินงานในส่วนของการสำรวจและผลิตพลังงาน ทั้งก๊าซธรรมชาติ ก๊าซธรรมชาติเหลว และนํ้ามันดิบ ล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบให้ต่อระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมสำหรับสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 1/2529/33 แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข B12/27 (โครงการแหล่งไพลิน) ออกไปอีก 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2571 ถึงวันที่ 14 มกราคม 2581 เพื่อให้เกิดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง สามารถรักษาระดับการผลิตก๊าซธรรมชาติให้คงอยู่ที่ประมาณ 400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน

ท่ามกลางบริบทการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน เชฟรอนไม่เพียงแต่มุ่งเน้นการผลิต แต่ยังให้ความสำคัญสูงสุดกับความยั่งยืน จนได้รับรางวัลเกียรติยศ “The Leadership Award 2025” สาขา Green Growth Strategy Award จากหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมกับมหาวิทยาลัยรามคำแหง และฐานเศรษฐกิจ

นายชาทิตย์ ห้วยหงษ์ทอง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ผู้บริหารสัญชาติไทยคนที่ 3 ที่นำประสบการณ์กว่า 3 ทศวรรษในแวดวงพลังงานระดับโลก มาผสานวิสัยทัศน์การบริหาร เพื่อนำพาองค์กรฝ่าคลื่นความเปลี่ยนแปลงสู่การเป็น “องค์กรพลังงานเพื่ออนาคต” กล่าวว่า ได้เริ่มต้นเส้นทางอาชีพกับเชฟรอนในปี พ.ศ. 2545 ในตำแหน่งวิศวกรปิโตรเลียม ก่อนจะเติบโตสู่บทบาทผู้จัดการแหล่งผลิตไพลินและปลาทอง รวมถึงดำรงตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ฝ่ายพัฒนาแหล่งผลิตในปี พ.ศ. 2561 ระหว่างเส้นทางกว่า 2 ทศวรรษ ได้ร่วมงานในโครงการสำคัญทั่วโลก ทั้งในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา ซึ่งหล่อหลอมให้ตนเดินหน้าในฐานะผู้นำที่ผสมผสานความเชี่ยวชาญเชิงเทคนิคเข้ากับวิสัยทัศน์สากลด้วยการบริหารที่แข็งแกร่ง

ภายใต้บริบทพลังงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บริษัทได้มุ่งวางกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อพัฒนาพลังงานที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนในระดับที่ตํ่าลง เพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานของประเทศควบคู่ไปกับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และยกระดับขีดความสามารถของบุคลากร เพื่อขับเคลื่อนเชฟรอนประเทศไทยสู่การเป็นองค์กรพลังงานเพื่ออนาคต

‘ชาทิตย์’ นำทัพเชฟรอนฯ สู่ Green Growth สร้างความมั่นคงพลังงาน สังคมคาร์บอนตํ่า

Green Growth หัวใจทุกการตัดสินใจ

ชาทิตย์ ระบุว่า ภายใต้การบริหารงาน “Green Growth” หรือการเติบโตสีเขียว ไม่ใช่เพียงแค่แนวคิด แต่เป็นหัวใจในทุกการตัดสินใจขององค์กร ที่มุ่งมั่นสร้างสมดุลระหว่างการจัดหาพลังงานที่มั่นคง เชื่อถือได้ ในราคาที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับการเป็นพลังงานที่สะอาดยิ่งขึ้น โดยมองว่าพลังงานแห่งอนาคตคือพลังงานที่ปล่อยคาร์บอนตํ่า แม้ว่าการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลจะยังคงมีความจำเป็นในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า แต่เราต้องทำให้กระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพสูงสุดและปล่อยคาร์บอนตํ่าที่สุด เป้าหมายของเชฟรอนที่ชัดเจนคือการมุ่งสู่ Net Zero Emissions ภายในปี พ.ศ. 2593

ทั้งนี้ เชฟรอน ได้นำแนวคิดวิศวกรรมแบบหมุนเวียน (Circular Engineering) มาประยุกต์ใช้ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบ การก่อสร้าง การดำเนินงาน ไปจนถึงการรื้อถอน ซึ่งผลลัพธ์ที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าทำได้จริง โดยเมื่อเทียบกับปี 2565 สามารถลดความเข้มของการปล่อยคาร์บอนลงได้ถึง 20% ลดการเผาก๊าซทิ้งลง 42% และลดการปล่อยมีเทนลงถึง 58%

ขับเคลื่อนนวัตกรรมสู่การปฏิบัติงานที่ยั่งยืน

ชาทิตย์ ชี้ให้เห็นว่า กุญแจสำคัญที่นำไปสู่เป้าหมาย คือการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน พร้อมทั้งปรับนโยบายการดำเนินงานในทุกมิติ เพื่อควบคุมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศอย่างเป็นระบบ ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น Topsides Reuse เป็นรายแรกในไทยที่นำส่วนบนของแท่นหลุมผลิตที่ไม่ใช้งานแล้วกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งคว้ารางวัลระดับประเทศมาแล้ว คาดว่าภายในปี 2568 การนำแท่นกลับมาใช้ใหม่ 12 แท่น จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 10,000 ตัน

Integrated Operations Center (IOC) การจัดตั้งศูนย์ควบคุมการปฏิบัติงานของแท่นผลิตกลางอ่าวไทยทั้ง 3 แห่ง (เบญจมาศ, ไพลินเหนือ, 

ไพลินใต้) มารวมไว้ที่สำนักงานกรุงเทพฯ ควบคุมด้วยระบบ Real-Time ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งช่วยลดการเดินทาง ลดโลจิสติกส์ และเพิ่มประสิทธิภาพความปลอดภัยอย่างมาก

Renewable Energy Integration: เชฟรอน เริ่มนำร่องติดตั้งโซลาร์เซลล์และระบบพลังงานลมบนแท่นหลุมผลิต เพื่อลดการใช้นํ้ามันดีเซลและลดก๊าซเรือนกระจก

ขยายผลความยั่งยืนสู่ชุมชน

นอกจากนี้ ความยั่งยืนที่แท้จริงต้องเติบโตควบคู่ไปกับชุมชนเชฟรอน จึงดำเนินงานภายใต้แนวคิด “Enabling Human Progress” ที่สอดคล้องกับหลัก ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) โดยมีโครงการเพื่อสังคมกว่า 50 โครงการต่อปี ใน 17 จังหวัดทั่วประเทศ อาทิ โครงการ “Rigs-to-Reefs” ที่นำ 7 ขาแท่น ปิโตรเลียมไปจัดวางเป็นปะการังเทียมที่เกาะพะงัน ช่วยเพิ่มความหลากหลายของปลาท้องถิ่นจาก 15 ชนิด เป็น 36 ชนิด สร้างบ้านปลาและต่อยอดเศรษฐกิจชุมชน หรือ “โครงการก๊าซชีวภาพสหกรณ์ยางพารา” ที่ร่วมกับ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เปลี่ยนนํ้าเสียเป็นก๊าซชีวภาพสำหรับผลิตยางแผ่นรมควันคาร์บอนตํ่า ช่วยชุมชนลดการใช้ฟืนลงถึง 30% พร้อมลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 425 ตันต่อปี

โครงการ “เติมพลังรักษ์ยั่งยืนสู่ผืนป่าไทย” ที่เน้นฟื้นฟูสภาพป่าชายเลนพระเจดีย์กลางนํ้า 100 ไร่ จังหวัดระยอง ที่มีการปลูกและดูแลรักษาป่าชายเลน ซึ่งสร้างรายได้ให้ชุมชน การติดตามการเจริญเติบโตของต้นไม้และความหลากหลายทางชีวภาพ โดยให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการเก็บข้อมูลทางนิเวศวิทยา รวมถึงการเพาะพันธุ์กล้าไม้ท้องถิ่นที่มีมูลค่าสูง เพื่อใช้ในโครงการและต่อยอดเป็นธุรกิจชุมชน

 “โครงการและแนวคิดต่าง ๆ เป็นวิสัยทัศน์ที่นำเชฟรอนประเทศไทยขับเคลื่อนควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจ การดูแลสังคม และการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมพลังงาน ซึ่งความยั่งยืนไม่ใช่เพียงแนวทาง แต่เป็นองค์ประกอบจำเป็นที่ต้องอยู่ในทุกขั้นตอนของการดำเนินธุรกิจอย่างแท้จริง”

เดินหน้าลงทุนต่อเนื่อง

ขณะที่แผนการดำเนินงานในระยะต่อไปว่า ยังคงมุ่งจัดหาพลังงานที่เชื่อถือได้ มีราคาเหมาะสม และสะอาดมากยิ่งขึ้น ให้กับประเทศไทย โดยจะยังเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่องในด้านการสำรวจและพัฒนาปิโตรเลียมภายในประเทศ ทั้งการพัฒนาแหล่งผลิตปิโตรเลียมที่มีอยู่ ได้แก่ ไพลิน และ เบญจมาศ รวมถึงแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G2/65 ที่เชฟรอนได้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในการประมูลสิทธิปิโตรเลียมครั้งที่ 24 ที่ผ่านมา

‘ชาทิตย์’ นำทัพเชฟรอนฯ สู่ Green Growth สร้างความมั่นคงพลังงาน สังคมคาร์บอนตํ่า

“แนวโน้มความต้องการพลังงานปีหน้า เชื่อว่าจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเชฟรอนสามารถช่วยสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศได้ จากความต่อเนื่องในการผลิต รวมถึงพัฒนาพื้นที่ในการผลิตใหม่ ๆ ซึ่งก็จะทำให้ไทยลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานที่มีราคาสูงกว่า ช่วยลดต้นทุนทางพลังงานที่อยู่ในประเทศลดลงด้วย”

พลังคนสำคัญต่อการบริหารธุรกิจ

ชาทิตย์ กล่าวปิดท้ายอย่างน่าสนใจว่า พลังคนคือทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของทุกองค์กร ไม่ว่าในอนาคตเทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปแค่ไหน พลังคนจะยังคงเป็นหัวใจของความสำเร็จเสมอ ตนได้เรียนรู้จากประสบการณ์ทำงานกว่า 30 ปีในธุรกิจนี้ว่า เทคโนโลยีไม่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนได้ แต่คนสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนด้วยกันได้และแรงบันดาลใจนั้นเองที่จะช่วยขับเคลื่อนให้เกิดผลงาน ผลลัพธ์ และความสำเร็จได้

ในฐานะผู้นำขององค์กร จึงพยายามในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับพนักงาน กำหนดเป้าหมายที่ท้าทาย ส่งเสริมการทำงานร่วมกันเป็นทีม ช่วยแก้ไขปัญหาและอุปสรรค และคอยเป็นโค้ชให้กับทีม เพราะการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประเทศ เป็นงานที่ท้าทายและมีความเสี่ยงสูง จึงต้องการคนที่มีความรู้ ความสามารถ ความแม่นยำ ความละเอียดรอบคอบ และประสบการณ์เพื่อให้มั่นใจว่าทุกขั้นตอนของการทำงานนั้นมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ทั้งต่อพนักงานเอง ชุมชนโดยรอบ และต่อสิ่งแวดล้อมด้วย

นอกจากนี้ ยังเชื่ออีกว่าการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดโอกาสให้พนักงานได้แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา ให้ข้อเสนอแนะ รวมถึงการนำเทคโนโลยีหรือวิธีการทำงานใหม่ ๆ มาใช้ จะช่วยส่งเสริมให้องค์กรเข้มแข็งมากยิ่งขึ้นต่อไป