net-zero

พ.ร.บ.อากาศสะอาด ส่อถูกเตะถ่วง–ทุนใหญ่ค้าน กมธ.จี้ ส.ว.ฟังเสียงประชาชน

In Brief

  • ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด มีแนวโน้มถูกประวิงเวลาในชั้นวุฒิสภา ซึ่งอาจทำให้การพิจารณาไม่ทันก่อนยุบสภาและต้องเริ่มต้นกระบวนการใหม่ทั้งหมด
  • กลุ่มทุนและภาคเอกชนบางส่วน (กกร.) ออกมาคัดค้านร่างกฎหมาย โดยให้เหตุผลว่าจะเพิ่มภาระต้นทุนให้ผู้ประกอบการและส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
  • คณะกรรมาธิการฯ เรียกร้องให้วุฒิสภารับฟังเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ที่สนับสนุนกฎหมาย แทนที่จะฟังเสียงคัดค้านจากกลุ่มทุนเพียงไม่กี่ราย

ร่าง “พ.ร.บ.อากาศสะอาด” ที่คนไทยรอคอย อาจไม่ทันบังคับใช้ในปี 2569 หลังวุฒิสภามีแนวโน้มถ่วงกระบวนการพิจารณา ขณะที่ภาคเอกชนบางส่วนคัดค้านหวั่นเพิ่มภาระต้นทุน ขณะที่มีเสียงเตือนว่าความล่าช้าอาจทำให้ประชาชนต้องเผชิญฝุ่นพิษต่ออีกหลายปี พร้อมตั้งคำถามว่า เสียงกลุ่มทุน ใหญ่กว่าเสียงของประชาชนทั้งประเทศหรือไม่

ความคืบหน้าของร่างพระราชบัญญัติอากาศสะอาด กลายเป็นประเด็นร้อนในแวดวงเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม หลังสภาผู้แทนราษฎรมีมติผ่านเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 และวุฒิสภาเห็นชอบในวาระหนึ่ง ทว่ากระบวนการกลับชะลอตัวจนหลายฝ่ายกังวลว่าจะ “ไม่ทันก่อนยุบสภา”

Climate Center โดย ฐานเศรษฐกิจ พูดคุยกับ รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช อาจารย์ประจำภาควิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด โดยปิดเผยถึงความล่าช้าในกระบวนการพิจารณากฎหมาย ว่าหลังการประชุมนัดแรกเมื่อราว 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีสัญญาณน่ากังวลว่ากระบวนการอาจถูก “เตะถ่วง” 

เนื่องจากตามปกติร่างกฎหมายที่เข้าสู่วุฒิสภาจะมีกำหนดพิจารณา 30 วัน และสามารถขยายได้อีก 30 วันหากจำเป็น แต่ในการประชุมนัดแรกกลับมีการหารือถึงการ “ขยายเวลา” ทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มพิจารณาอย่างจริงจัง พร้อมทั้งกำหนดให้ประชุมเพียงสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง ซึ่งน่าห่วงว่าจะไม่สามารถพิจารณากฎหมายกว่า 300 มาตราได้ทันกำหนด

รศ.ดร.วิษณุ ระบุว่า ช่วงเวลาปิดสมัยประชุมของรัฐสภาซึ่งเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม จะไม่นับรวมอยู่ในกรอบเวลา 30 วัน ทำให้กระบวนการพิจารณาเลื่อนยาวไปถึงวันที่ 2 มกราคม 2569 และหากมีการขยายเวลาเพิ่มอีก 30 วัน จะลากไปถึงเดือนกุมภาพันธ์ ขณะที่รัฐบาลเคยระบุว่าวันช้าที่สุดที่จะยุบสภา คือ 29 มกราคม ซึ่งหมายความว่า หากกฎหมายไม่เสร็จทันในช่วงดังกล่าว จะต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด

สิ่งที่กังวลคือ ทำไมนัดแรกถึงพูดเรื่องขยายเวลา ทำไมไม่พยายามเร่งพิจารณาให้ทันใน 30 วันแรกก่อน หากสัปดาห์หน้าจะประชุมอีกครั้งในวันที่ 12 พฤศจิกายน เท่ากับเว้นช่วงไปเกือบ 2 สัปดาห์ ทั้งที่สามารถเตรียมการล่วงหน้าได้

รศ.ดร.วิษณุ กล่าวอีกว่า หากวุฒิสภามีการแก้ไขบางมาตราและไม่ตรงกับร่างเดิมของสภาผู้แทนราษฎร จะต้องตั้งคณะกรรมาธิการร่วมของทั้งสองสภา ซึ่งจะทำให้กระบวนการล่าช้าออกไปอีก โดยประเมินว่าหากร่างกฎหมายไม่ผ่านก่อนยุบสภา กระบวนการทั้งหมดอาจต้องเริ่มใหม่ และจะทำให้ล่าช้าอย่างน้อย 1-2 ปี

เราคาดว่า ถ้าจะให้ทันก่อนยุบสภาในวันที่ 29 มกราคม อย่างน้อยต้องพิจารณาให้จบภายในกลางเดือนธันวาคม แต่ดูจากท่าทีตอนนี้ ยังไม่เห็นความพยายามเร่งรัด จึงน่ากังวลว่าอาจเป็นการถ่วงเวลาคำถามที่ตามมาคือ แล้วสุขภาพประชาชนใครรับผิดชอบ 65 ล้าน ถ้าฝุ่นกลับมา แล้วกฎหมายตกไป แล้วต้องรออีกปี 2 ปี

กกร. กังวล-ไม่เห็นด้วยต่อ ร่าง กม.อากาศสะอาด

อีกด้านหนึ่ง คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน แสดงความไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายฉบับนี้ โดยระบุว่าขาดการประเมินผลกระทบ (Regulatory Impact Assessment – RIA) อย่างรอบด้าน และอาจเพิ่มภาระต้นทุนแก่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ

รศ.ดร.วิษณุ ระบุว่า หนึ่งในประเด็นที่น่าจับตา คือท่าทีของภาคเอกชน โดยเฉพาะจาก 3 องค์กรหลักภาคธุรกิจ (กกร.) ซึ่งได้ออกแถลงการณ์แสดงความไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายดังกล่าว ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยส่งหนังสือถึงกรรมาธิการเพื่อขอมีส่วนร่วมในกระบวนการจัดทำร่าง

ตอนพิจารณาในชั้นสภาผู้แทนราษฎร เราเปิดกว้างให้เอกชนทุกภาคส่วนเข้ามาให้ข้อเสนอแนะ เชิญตัวแทนบริษัทต่าง ๆ เข้าร่วมประชุม รับฟังความคิดเห็นทุกฉบับ รวมถึงจดหมายจากภาคธุรกิจ ทุกขั้นตอนเป็นไปตามกระบวนการตามกฎหมายทั้งหมด แต่พอมาวันนี้กลับมีเสียงวิจารณ์ว่าเอกชนไม่ได้มีส่วนร่วม จึงอดตั้งคำถามไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

นอกจากนี้ยังระบุเพิ่มเติมว่า กรรมาธิการเคยเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนกว่า 2,000 คนทั่วประเทศ ซึ่งกว่า 90% เห็นชอบ กับร่างกฎหมายฉบับนี้ เพราะมองว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมของคนไทย แต่กลับมีกลุ่มทุนเพียงไม่กี่รายที่คัดค้าน และมีน้ำหนักเสียงมากพอจะทำให้กระบวนการชะงัก

คำถามคือ ทำไมเสียงของประชาชน1000-2000 คนถึงเบากว่าเสียงของกลุ่มทุนไม่กี่ราย ทั้งที่คนไทยกว่า 65 ล้านคนต้องเผชิญอากาศเป็นพิษทุกวัน 

รศ.ดร.วิษณุ กล่าวต่อว่า ไม่ได้เหมารวมว่าภาคเอกชนทั้งหมดเป็นฝ่ายคัดค้าน เพราะยังมีกลุ่มทุนที่ปรับตัวไปสู่พลังงานสะอาดและการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจำนวนมาก แต่ปัญหาคือ บางกลุ่มทุนที่ยังไม่ยอมเปลี่ยนผ่าน มองว่าการปรับตัวคือ “ต้นทุน” จึงพยายามรั้งให้กฎหมายล่าช้า เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเองโดยไม่มองผลกระทบต่อส่วนรวม

เราควรถามตัวเองว่าประเทศไทยจะเดินต่อไปทางไหน จะยังติดอยู่กับโครงสร้างเดิมที่สร้างมลพิษและมูลค่าเพิ่มต่ำ เราจะยกระดับประเทศไปสู่ OECD ยกระดับมูลค่าเพิ่ม แต่ก็ยังติดกับดัก เดิมๆ กับกลุ่มทุนที่ไม่ยอมปรับตัว

จี้ ส.ว.เร่งผ่าน พ.ร.บ.อากาศสะอาด อย่าฟังแต่ทุนใหญ่ 

รศ.ดร.วิษณุ ระบุว่า การผลักดันร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่เพียงเป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อม แต่เป็นจุดเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ ของประเทศ หากผ่านได้จะเป็นแรงหนุนให้ธุรกิจที่ผลิตอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเติบโต ขณะที่กลุ่มทุนที่ไม่ยอมปรับตัวเพียงไม่กี่รายจะเป็นฝ่ายเสียประโยชน์

ภาคประชาชนกำลังจับตาท่าทีของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ว่าจะรับฟังเสียงจากกลุ่มทุนหรือเสียงของประชาชน ซึ่งมีถึง 65 ล้านคนทั่วประเทศ ส.ว.ต้องไม่ลืมว่าหน้าที่ของท่านคือปกป้องประโยชน์ส่วนรวม ไม่ใช่ผลประโยชน์ของผู้ก่อมลพิษ

รศ.ดร.วิษณุ ตั้งคำถามว่า หากประเทศไทยยังตามใจผู้ก่อมลพิษต่อไป จะยกระดับเศรษฐกิจได้อย่างไร เพราะหลักการสำคัญของร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด คือ “ผู้ก่อมลพิษต้องจ่าย (Polluter Pays Principle)” ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล แต่กลับถูกภาคธุรกิจบางส่วนพยายามผลักออกจากร่างกฎหมาย ทั้งที่เป็นหัวใจของการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

รศ.ดร.วิษณุ กล่าวว่า ก่อนหน้านั้นความพยายามจากบางฝ่ายในวุฒิสภาที่จะ ตัด “เขี้ยวเล็บ” ของกฎหมาย ออกไป ทั้งกองทุนอากาศสะอาด มาตรการทางเศรษฐศาสตร์เพื่อปรับผู้ก่อมลพิษ รวมถึงอำนาจของคณะกรรมการอากาศสะอาดระดับจังหวัด โดยเฉพาะประเด็นการกระจายอำนาจระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัดกับนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งเคยเป็นข้อถกเถียงในชั้นกรรมาธิการเสียงข้างน้อยมาก่อน

ถ้าถอดกลไกเหล่านี้ออก กฎหมายก็จะเหลือแต่ชื่อ ไม่สามารถทำให้อากาศสะอาดได้จริง เราเห็นหลายประเทศที่ทำสำเร็จเพราะเขามีกฎหมาย 

รศ.ดร.วิษณุ อธิบายถึงผลเสียต่อเศรษฐกิจหากไม่สามารถบังคับใช้ พ.ร.บ อากาศสะอาดได้ ว่า งานวิจัยในปี 2562 พบว่า มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจจากปัญหามลพิษทางอากาศสูงถึง 2.17 ล้านล้านบาทต่อปี เฉพาะผลกระทบต่อครัวเรือน ยังไม่รวมผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวหรือกิจกรรมเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่น การจัดอีเวนต์ กีฬา และมาราธอนที่สร้างรายได้ให้ท้องถิ่น แต่ต้องยกเลิกเพราะสภาพอากาศเป็นพิษ

ถ้าอากาศสะอาด เมืองไทยมีศักยภาพดึงนักท่องเที่ยวระดับโลกมาได้มากกว่านี้ มูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาลกำลังหายไปเพราะมลพิษ แล้วเรายังจะตามใจผู้ก่อมลพิษอีกหรือ

รศ.ดร.วิษณุ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันทุกจังหวัดของไทยมีค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐานองค์การอนามัยโลกทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องของบางพื้นที่ แต่คือ 65 ล้านชีวิตที่หายใจอากาศพิษทุกวัน ถ้า ส.ว.จะเร่งกระบวนการให้กฎหมายผ่านเพื่อช่วยลดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร คือเวลาที่ต้องทำ

ถึงเวลาที่สังคมทุกภาคส่วนต้องร่วมกันผลักดันให้กฎหมายนี้เกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะเป็นภาคประชาชน ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม หรือผู้ประกอบการที่ได้รับผลดีโดยตรงจากอากาศที่สะอาดขึ้น เพราะหากยังปล่อยให้เสียงของกลุ่มทุนที่ไม่ยอมปรับตัวกลบเสียงของประชาชน ประเทศไทยก็จะไม่มีวันก้าวพ้นกับดักเดิม ๆ ได้