KEY
POINTS
นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล เลขาธิการสมาพันธ์ปศุสัตว์และเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เปิดเผยว่า ตามที่ สมาพันธ์ปศุสัตว์ฯ ได้ติดตามความคืบหน้าการจัดทำ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ…. มาอย่างต่อเนื่อง และเห็นด้วยกับการตราร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ซึ่ง มองถึงการดูแลสุขภาพประชาชนเป็นสำคัญ
อย่างไรก็ตาม สมาพันธ์ฯ เห็นว่าการคำนึงถึงบริบทและวิถีชีวิต ของเกษตรกรไทย ซึ่งเป็นต้นน้ำที่สำคัญของภาคอุตสาหกรรมการเกษตรและภาคเศรษฐกิจของประเทศ ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่อาจละทิ้งได้
ที่ผ่านมา สมาชิกสมาพันธ์ฯ ได้ดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง อาทิ ไม่สนับสนุนการปลูกข้าวโพดรุกป่า รวมถึงการเผาตอซังทุกรูปแบบ ร่วมจัดทำโครงการเพิ่มพื้นที่ปลูกข้าวโพดหลังนา รวมถึงการผลักดันให้ใช้มาตรฐานการผลิต (GAP) ภาคบังคับ แต่ผลลัพธ์ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากเกษตรกรไทยไม่มีทางเลือก จึงยังต้องทำการเพาะปลูกแบบเดิมๆ ด้วยการเผาตอซัง
อีกทั้งขาดปัจจัยที่จะสนับสนุนให้เลิกเผา เช่น วิธีการ หรือเครื่องมือที่เหมาะสม ทำให้เกษตรกรมองว่าการเลิกเผาทำให้เกิดภาระเพิ่มเติม ในปี 2559-2564 สมาพันธ์ฯ ได้ดำเนินโครงการสวมหมวกใส่รองเท้าให้ภูเขาหัวโล้นที่ จ. น่าน เพื่อปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวโพดบนเขาให้เป็นไม้ยืนต้น แต่ก็ทำได้เพียงเกษตรกรกลุ่มหนึ่งเท่านั้น (100 ไร่จากพื้นที่ปลูกข้าวโพดทั้งประเทศ 6.5 ล้านไร่) จึงจะต้องใช้เวลาอีกมากในการปรับเปลี่ยนหรือพัฒนาเกษตรกร
อย่างไรก็ดี สมาพันธ์ฯ เห็นว่า ร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้จะกลายเป็นกฎหมายเพื่อมีไว้ลงโทษเท่านั้น เพราะยังไม่กำหนดแนวทางปฏิบัติที่จะนำไปสู่การพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเกษตรกรไทย ถึงแม้จะไม่มีบทลงโทษโดยตรงแก่เกษตรกร แต่ท้ายที่สุดก็จะย้อนกลับมากระทบต่อเกษตรกร เพราะมี บทลงโทษแก่ธุรกิจต่อเนื่องที่ใช้ผลผลิตจากเกษตรกร
ยกตัวอย่างเช่น การระบุมาตรการตรวจสอบย้อนกลับอย่างละเอียดที่ครอบคลุมถึงกระบวนการเพาะปลูกโดยเกษตรกร ซึ่งส่งผลกระทบด้านต้นทุนและเป็นภาระอย่างยิ่ง โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยและเกษตรกรที่ยังขาดศักยภาพ เนื่องจากภาครัฐไม่มีการ ส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างทั่วถึงเสียก่อน
ดังนั้นสมาพันธ์ฯ จึงขอเสนอพิจารณากำหนดแนวทางปฏิบัติเพื่อไม่ให้เกิดความผิดภายใต้ ร่าง พระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศ สะอาด พ.ศ…. ก่อนบังคับใช้ ผ่านถึงนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ,พลตํารวจโทบุญจันท์ นวลสาย ประธานคณะกรรมาธิการกฎหมายและการยุติธรรม วุฒิสภา, นายธวัช สุระบาล ประธานคณะกรรมาธิการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา,นายวิวรรธน์ ไกรพิสิทธิ์กุล ประธานคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา,นายประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล ประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา,นายชีวะภาพ ชีวะธรรม ประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา ดังนี้
1.ออกกฎหมายรองที่ทำให้เกิดการปรับตัวด้านการผลิตภาคเกษตรก่อน โดยเฉพาะมาตรา 50/4 กระทรวงเกษตรฯ จะต้องให้มีการหารือและพัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับร่วมกับภาคเอกชน ก่อนตรา กฎหมายรองบังคับการใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับ เพื่อให้สามารถทำได้จริงตรงตามวัตถุประสงค์โดยไม่ก่อนให้ เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ
2.ขอให้พิจารณาบทลงโทษที่เหมาะสมกับบริบทประเทศไทย ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ จนถึงขั้นปิดกิจการ รวมถึงส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของประเทศต่างๆ ที่ต้องการจะเข้ามาลงทุนในไทย
3.ควรกำหนดให้มีระยะเวลาปรับตัว 3-5 ปี โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างการผลิตสินค้าเกษตรไว้ใน บทเฉพาะกาล