สมาพันธ์ปศุสัตว์ฯ จี้คว่ำร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ผวาฟาดหางธุรกิจเจ๊ง นักลงทุนเผ่น

23 ต.ค. 2568 | 03:00 น.

ผวา 'ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด' พ่นพิษ สมาพันธ์ปศุสัตว์ฯ จี้คว่ำร่าง ห่วงอนาคตทุบธุรกิจเจ๊ง นักลงทุนเผ่น ชี้ระบบตรวจสอบย้อนกลับ ควรหารือก่อนบังคับใช้ แนะให้มีระยะปรับตัว 3-5 ปี ก่อนบังคับใช้

KEY

POINTS

  • สมาพันธ์ปศุสัตว์ฯ กังวลว่าร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ฉบับปัจจุบันเน้นการลงโทษและจะส่งผลกระทบย้อนกลับมาที่เกษตรกรและธุรกิจต่อเนื่อง
  • บทลงโทษที่รุนแรงและมาตรการตรวจสอบย้อนกลับที่เข้มงวด อาจสร้างภาระต้นทุนจนทำให้ธุรกิจต้องปิดตัวและนักลงทุนต่างชาติย้ายฐานการผลิต
  • เสนอให้ทบทวนร่างกฎหมาย โดยออกกฎหมายรองเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรก่อนบังคับใช้, พิจารณาบทลงโทษที่เหมาะสม และให้เวลาปรับตัว 3-5 ปี

นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล  เลขาธิการสมาพันธ์ปศุสัตว์และเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ  เปิดเผยว่า ตามที่ สมาพันธ์ปศุสัตว์ฯ ได้ติดตามความคืบหน้าการจัดทำ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ…. มาอย่างต่อเนื่อง และเห็นด้วยกับการตราร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ซึ่ง มองถึงการดูแลสุขภาพประชาชนเป็นสำคัญ

สมาพันธ์ปศุสัตว์ฯ จี้คว่ำร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ผวาฟาดหางธุรกิจเจ๊ง นักลงทุนเผ่น

อย่างไรก็ตาม สมาพันธ์ฯ เห็นว่าการคำนึงถึงบริบทและวิถีชีวิต ของเกษตรกรไทย ซึ่งเป็นต้นน้ำที่สำคัญของภาคอุตสาหกรรมการเกษตรและภาคเศรษฐกิจของประเทศ ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่อาจละทิ้งได้

ที่ผ่านมา สมาชิกสมาพันธ์ฯ ได้ดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง อาทิ ไม่สนับสนุนการปลูกข้าวโพดรุกป่า รวมถึงการเผาตอซังทุกรูปแบบ ร่วมจัดทำโครงการเพิ่มพื้นที่ปลูกข้าวโพดหลังนา รวมถึงการผลักดันให้ใช้มาตรฐานการผลิต (GAP) ภาคบังคับ แต่ผลลัพธ์ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากเกษตรกรไทยไม่มีทางเลือก จึงยังต้องทำการเพาะปลูกแบบเดิมๆ ด้วยการเผาตอซัง

อีกทั้งขาดปัจจัยที่จะสนับสนุนให้เลิกเผา เช่น วิธีการ หรือเครื่องมือที่เหมาะสม ทำให้เกษตรกรมองว่าการเลิกเผาทำให้เกิดภาระเพิ่มเติม ในปี 2559-2564 สมาพันธ์ฯ ได้ดำเนินโครงการสวมหมวกใส่รองเท้าให้ภูเขาหัวโล้นที่ จ. น่าน เพื่อปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวโพดบนเขาให้เป็นไม้ยืนต้น แต่ก็ทำได้เพียงเกษตรกรกลุ่มหนึ่งเท่านั้น (100 ไร่จากพื้นที่ปลูกข้าวโพดทั้งประเทศ 6.5 ล้านไร่) จึงจะต้องใช้เวลาอีกมากในการปรับเปลี่ยนหรือพัฒนาเกษตรกร

อย่างไรก็ดี สมาพันธ์ฯ เห็นว่า ร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้จะกลายเป็นกฎหมายเพื่อมีไว้ลงโทษเท่านั้น เพราะยังไม่กำหนดแนวทางปฏิบัติที่จะนำไปสู่การพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเกษตรกรไทย ถึงแม้จะไม่มีบทลงโทษโดยตรงแก่เกษตรกร แต่ท้ายที่สุดก็จะย้อนกลับมากระทบต่อเกษตรกร เพราะมี บทลงโทษแก่ธุรกิจต่อเนื่องที่ใช้ผลผลิตจากเกษตรกร

ยกตัวอย่างเช่น การระบุมาตรการตรวจสอบย้อนกลับอย่างละเอียดที่ครอบคลุมถึงกระบวนการเพาะปลูกโดยเกษตรกร ซึ่งส่งผลกระทบด้านต้นทุนและเป็นภาระอย่างยิ่ง โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยและเกษตรกรที่ยังขาดศักยภาพ เนื่องจากภาครัฐไม่มีการ ส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างทั่วถึงเสียก่อน

ดังนั้นสมาพันธ์ฯ จึงขอเสนอพิจารณากำหนดแนวทางปฏิบัติเพื่อไม่ให้เกิดความผิดภายใต้ ร่าง พระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศ สะอาด พ.ศ…. ก่อนบังคับใช้ ผ่านถึงนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ,พลตํารวจโทบุญจันท์ นวลสาย ประธานคณะกรรมาธิการกฎหมายและการยุติธรรม วุฒิสภา, นายธวัช สุระบาล ประธานคณะกรรมาธิการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา,นายวิวรรธน์ ไกรพิสิทธิ์กุล ประธานคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา,นายประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล ประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา,นายชีวะภาพ ชีวะธรรม   ประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา  ดังนี้

1.ออกกฎหมายรองที่ทำให้เกิดการปรับตัวด้านการผลิตภาคเกษตรก่อน โดยเฉพาะมาตรา 50/4 กระทรวงเกษตรฯ จะต้องให้มีการหารือและพัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับร่วมกับภาคเอกชน ก่อนตรา กฎหมายรองบังคับการใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับ เพื่อให้สามารถทำได้จริงตรงตามวัตถุประสงค์โดยไม่ก่อนให้ เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ

2.ขอให้พิจารณาบทลงโทษที่เหมาะสมกับบริบทประเทศไทย ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ จนถึงขั้นปิดกิจการ รวมถึงส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของประเทศต่างๆ ที่ต้องการจะเข้ามาลงทุนในไทย

3.ควรกำหนดให้มีระยะเวลาปรับตัว 3-5 ปี โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างการผลิตสินค้าเกษตรไว้ใน บทเฉพาะกาล