In Brief
มหาเศรษฐีนักลงทุนและนักการกุศล บิล เกตส์ เรียกร้องให้ผู้นำโลกปรับยุทธศาสตร์ด้านภูมิอากาศ โดยหันมาเน้น การปรับตัวต่อสภาพอากาศสุดขั้วและการยกระดับสุขภาพของประชากรมากกว่าการมุ่งเป้าลดอุณหภูมิโลก ก่อนการประชุมสมัชชาภูมิอากาศโลก COP30 ที่จะจัดขึ้นในบราซิล
การประชุม COP30 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10–21 พฤศจิกายน ในเมืองท่าบีเลง (Belem) ทางตอนล่างของลุ่มน้ำแอมะซอน ประเทศบราซิล โดยประเทศสมาชิกจะนำเสนอ คำมั่นสัญญาระดับชาติ ที่ปรับปรุงใหม่ด้านสภาพภูมิอากาศ และประเมินความคืบหน้าการขยายพลังงานหมุนเวียนที่ตกลงกันไว้ในการประชุมครั้งก่อน
ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา โลกได้เดินหน้าตามเป้าหมายข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งตั้งเป้าจำกัดภาวะโลกร้อนให้อยู่ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียสเหนือระดับอุณหภูมิเฉลี่ยก่อนยุคอุตสาหกรรมภายในกลางศตวรรษนี้ ทว่าความพยายามดังกล่าวยัง “ไม่อยู่ในเส้นทางที่ควรจะเป็น”
เกตส์ระบุผ่านบล็อกส่วนตัวว่า แม้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเป็นเรื่องร้ายแรง แต่ไม่ถึงขั้นทำลายอารยธรรมมนุษย์พร้อมเสนอให้โลกปรับมุมมองใหม่ โดยเน้นการสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคมและเศรษฐกิจผ่านการยกระดับสุขภาพและความมั่งคั่งของผู้คน มากกว่าการวัดความก้าวหน้าด้วยตัวเลขอุณหภูมิ
เขาเรียกร้องให้มุ่งลงทุนในด้านการเข้าถึงพลังงาน การดูแลสุขภาพ และความยืดหยุ่นทางการเกษตร โดยเฉพาะในพื้นที่เปราะบาง เพราะเป็นแนวทางที่สร้างผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมมากกว่าการตั้งเป้าลดอุณหภูมิ และควรเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์ภูมิอากาศในการประชุม COP30
เกตส์ซึ่งลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อเร่งนวัตกรรมเทคโนโลยีสะอาดผ่านเครือข่าย Breakthrough Energy ได้ท้าทายนักนโยบายและผู้บริจาคให้ตรวจสอบอย่างจริงจังว่าเงินช่วยเหลือด้านภูมิอากาศ ถูกใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิผลหรือไม่ พร้อมเสนอให้ใช้ข้อมูลเป็นเครื่องมือเพิ่มผลลัพธ์ และเรียกร้องให้นักลงทุนสนับสนุนบริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีสะอาดประสิทธิภาพสูง เพื่อช่วยลดต้นทุนได้เร็วขึ้น
เขาระบุด้วยว่าจำนวนผู้เสียชีวิตโดยตรงจากภัยธรรมชาติ ลดลงกว่า 90% ในรอบศตวรรษที่ผ่านมา เหลือเพียงปีละ 40,000–50,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากระบบเตือนภัยและโครงสร้างพื้นฐานที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
เมื่อสัปดาห์ก่อน นายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ และองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ได้เรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ดำเนินการระบบเตือนภัยภัยพิบัติเพื่อปกป้องประชาชนจากสภาพอากาศสุดขั้ว
ทั้งนี้ ข้อมูลจาก WMO ระบุว่า ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา ภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ น้ำ และภูมิอากาศได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วมากกว่า 2 ล้านคน โดย 90% ของผู้เสียชีวิตเหล่านี้อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง