net-zero

ประชุมใหญ่ ICAO ยืนยันเป้าหมาย Net Zero ปี 2050 เปิดเกมลงทุนพลังงานสะอาด

In Brief

  • ที่ประชุมสมัชชาใหญ่ ICAO ยืนยันเป้าหมายระยะยาว (LTAG) ที่จะให้การบินระหว่างประเทศบรรลุการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050
  • รับรอง "กรอบนโยบายโลกด้านเชื้อเพลิงการบินยั่งยืน (SAF)" โดยตั้งเป้าลดการปล่อย CO2 ลง 5% ภายในปี 2030 เพื่อเป็นแนวทางสู่เป้าหมายใหญ่
  • ส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานสะอาดผ่านแพลตฟอร์ม "Finvest Hub" และกลไกสนับสนุนต่างๆ เพื่อช่วยให้ประเทศสมาชิกบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม
  • ยืนยันความมุ่งมั่นต่อโครงการ CORSIA ซึ่งเป็นกลไกตลาดระดับโลกเพื่อชดเชยและลดคาร์บอน โดยมีประเทศเข้าร่วมเพิ่มขึ้นเป็น 130 ประเทศ

การประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งที่ 42 ขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ปิดฉากเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2025 ณ เมืองมอนทรีออล การประชุมซึ่งจัดขึ้นทุก 3 ปีนี้ มีผู้แทนจากประเทศสมาชิกสูงสุดถึง 193 ประเทศเข้าร่วม เพื่อทบทวนและกำหนดลำดับความสำคัญ งบประมาณ และเป้าหมายของ ICAO โดยปีนี้ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นการประชุมครั้งแรกหลังจากที่ประชุมครั้งก่อนมีมติประวัติศาสตร์ให้การบินระหว่างประเทศบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050

การประชุมใหญ่ปี 2022 ICAO ได้เห็นชอบเป้าหมายเชิงมุ่งหวังระยะยาว (Long-Term Aspirational Goal: LTAG) เพื่อบรรลุการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 พร้อมยืนยันการดำเนินงานตาม “โครงการชดเชยและลดการปล่อยคาร์บอนจากการบินระหว่างประเทศ” (CORSIA) ซึ่งเป็นกลไกตลาดระดับโลกแรกสำหรับภาคการบินระหว่างประเทศ โดยมีจำนวนประเทศที่เข้าร่วมโดยสมัครใจเพิ่มจาก 88 ประเทศในปี 2021 เป็น 130 ประเทศในปัจจุบัน

แม้บริบทภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนไปจะทำให้ประเด็นด้านสภาพภูมิอากาศถูกลดความสำคัญลง แต่ที่ประชุมในครั้งนี้กลับแสดงให้เห็นถึงฉันทามติระดับโลกในประเด็นสิ่งแวดล้อม และสามารถยืนยันความมุ่งมั่นของประเทศสมาชิก ICAO ต่อเป้าหมาย LTAG ได้อีกครั้ง

นอกจากประเด็นด้านความยั่งยืนแล้ว ที่ประชุมยังให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของการบินทั่วโลก เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น เช่น เหตุการณ์ความปลอดภัยทางการบิน ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ความขัดแย้งทางอาวุธ และภัยคุกคามทางไซเบอร์รูปแบบใหม่ โดยประเทศสมาชิกตกลงที่จะยกระดับกรอบความปลอดภัยและความมั่นคงของภาคการบินให้สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวของ ICAO ที่มุ่งลดอัตราเสียชีวิตให้เป็นศูนย์ทั่วโลก

ข้อตกลงด้านการบินยั่งยืนจากที่ประชุมครั้งนี้

หลังจากที่ ICAO ประกาศเป้าหมาย LTAG การดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาได้มุ่งเน้นการนำมาตรการเชิงปฏิบัติไปสู่การปฏิบัติจริง ได้แก่

การรับรองมาตรฐานใหม่ที่เข้มงวดขึ้นด้านการปล่อยคาร์บอนและเสียงรบกวน สำหรับเครื่องบินรุ่นใหม่และรุ่นที่อยู่ในสายการผลิต

การรับรอง “แนวทางติดตามและรายงานผล LTAG” (LTAG Monitoring and Reporting Methodology) เพื่อวัดความก้าวหน้าในการลดการปล่อยคาร์บอน

การรับรอง “กรอบนโยบายโลกด้านเชื้อเพลิงการบินยั่งยืน (SAF) เชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำ (LCAF) และพลังงานสะอาดอื่น ๆ” ของ ICAO ซึ่งตั้งเป้าลดการปล่อย CO2 จากการบินระหว่างประเทศลง 5% ภายในปี 2030 เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ปี 2050

การสนับสนุนการลงทุนในเทคโนโลยีสะอาดผ่าน “แพลตฟอร์ม Finvest Hub” ของ ICAO ซึ่งเชื่อมโยงนักพัฒนาโครงการ ผู้ให้ทุน และหน่วยงานรัฐ เพื่ออุดช่องว่างด้านเงินทุน โดยให้ความสำคัญกับโครงการด้าน SAF

การยืนยันความมุ่งมั่นต่อโครงการ CORSIA ซึ่งเป็นกลไกตลาดระดับโลกเพียงแห่งเดียวของการบินระหว่างประเทศ

การขยายโครงการ ACT-SAF (เสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศในการพัฒนา SAF) ไปสู่โครงการ ACT-LTAG เพื่อสนับสนุนมาตรการลดการปล่อยในทุกมิติ ทั้งด้านการปฏิบัติการและโครงสร้างพื้นฐาน

การเน้นย้ำเรื่อง “การปรับตัวและความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” และการสนับสนุนมาตรการเพิ่มเติมในด้านนี้

เสียงสะท้อนจากภาคสนามบิน “Airports of Tomorrow”

สภาสนามบินนานาชาติ (Airports Council International: ACI World) มีบทบาทสำคัญในการสะท้อนมุมมองของภาคสนามบินในประเด็นอนาคตของการบินโลก ตั้งแต่การเชื่อมต่อทางอากาศและประสบการณ์ผู้โดยสาร ไปจนถึงการเปลี่ยนผ่านพลังงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

ACI World เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกมั่นใจว่าสนามบินสามารถเข้าถึงพลังงานหมุนเวียนที่เชื่อถือได้ มีเสถียรภาพ และมีราคาที่เหมาะสม เนื่องจากการดำเนินงานของสนามบินต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จึงจำเป็นต้องมีนโยบายระดับชาติเพื่อประสานให้สนามบินสามารถบรรลุเป้าหมายลดคาร์บอนระยะยาวได้ การเข้าถึงพลังงานสะอาดจึงเป็นรากฐานของการดำเนินงานที่ยั่งยืน มีประสิทธิภาพ และมีความยืดหยุ่นของอุตสาหกรรมการบิน

ความหมายต่อเป้าหมาย “การบินปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์” ทั่วโลก

การที่ไม่มีการถอยหลังจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ ถือเป็นสัญญาณเชิงบวก ขณะเดียวกัน การประชุมครั้งนี้ยังสามารถรับรองแนวทางเชิงรุกเพื่อเดินหน้ามาตรการลดคาร์บอนในภาคการบินอย่างต่อเนื่อง

การดำเนินการตาม “กรอบนโยบายโลก” จะมีบทบาทสำคัญต่ออนาคตของเชื้อเพลิงการบินยั่งยืน (SAF) ด้วยการสร้างกลไกสนับสนุนระยะยาวและเสถียร เพื่อดึงดูดการลงทุนและกระตุ้นความต้องการเชื้อเพลิงให้ขยายตัวในระดับอุตสาหกรรม

ด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่เปลี่ยนแปลงนี้ คาดว่าภูมิภาคที่มีความก้าวหน้าด้านสิ่งแวดล้อมจะเดินหน้าดำเนินนโยบายลดคาร์บอนอย่างต่อเนื่อง การสอดประสานกันของนโยบายเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่สอดคล้องของมาตรฐานความยั่งยืนทั่วโลก

ยุโรป

ยังคงเป็นผู้นำด้านนโยบายการบินและสภาพภูมิอากาศ ความคืบหน้าของโครงการ CORSIA และการประเมินของฝ่ายนิติบัญญัติสหภาพยุโรปว่าจะเข้มงวดเพียงใด จะมีผลต่อการทบทวนระบบซื้อขายสิทธิ์การปล่อย (ETS) ซึ่งอาจขยายเส้นทางการบินที่ต้องเสียค่าคาร์บอนเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน โหมดการขนส่งต่าง ๆ กำลังแข่งขันกันเพื่อช่วงชิงงบประมาณสนับสนุนจาก “แผนการลงทุนขนส่งยั่งยืน” (STIP) ที่กำลังจะเปิดตัว

สหรัฐอเมริกา

ใช้นโยบายส่งเสริมมากกว่าบังคับ โดยภายใต้กฎหมาย “One Big Beautiful Act” ได้ผ่อนคลายเกณฑ์ด้านความยั่งยืนของวัตถุดิบสำหรับผลิต SAF เพื่อเปิดทางให้เชื้อเพลิงราคาถูกขึ้น แม้จะลดผลประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมลงก็ตาม

เอเชีย-แปซิฟิก (APAC)

หลายประเทศในภูมิภาคนี้ เช่น สิงคโปร์ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย และไทย เริ่มดำเนินนโยบาย SAF ผ่านมาตรการภาษี แรงจูงใจ และข้อบังคับต่าง ๆ เช่น โปรแกรม Cleaner Fuels ของออสเตรเลียที่สนับสนุนเงินลงทุน 1.1 พันล้านดอลลาร์ แม้ความคืบหน้าจะช้ากว่ายุโรปและมีเกณฑ์ความยั่งยืนของวัตถุดิบที่ผ่อนคลายกว่า