net-zero

เบื้องหลัง ‘วันปล่อยเสือ 5’ เทศกาลดนตรี Eco Friendly ที่ทั้งมันส์และรักษ์โลก

In Brief

  • เทศกาลดนตรี "วันปล่อยเสือ 5" จัดขึ้นที่ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี ภายใต้แนวคิด Eco Friendly ที่ผสมผสานความสนุกสนานเข้ากับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง
  • มีกิจกรรมส่งเสริมการรักษ์โลกหลากหลายรูปแบบ เช่น แคมเปญแยกขยะ "1,200 ฝาแลกบัตร", โซนกิจกรรมพลังงานสะอาด, การปลูกป่า และการวัดผลคาร์บอนฟุตพริ้นท์
  • งานนี้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นกว่า 100 ล้านบาท และตั้งเป้าเป็นต้นแบบเทศกาลดนตรีรักษ์โลกของเอเชีย พร้อมขยายแนวคิดสู่เยาวชนทั่วประเทศ

จากวันที่เสียงดนตรีเป็นเพียงความสุขและพื้นที่ของความบันเทิง วันนี้กำลังกลายเป็นพลังของการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมาจะเห็นว่าเทศกาลดนตรีทั่วโลกเริ่มขยับเพื่อจัดงานอย่างยั่งยืน และหนึ่งในผู้ที่ลุกขึ้นมาทำจริงในประเทศไทย คือ บริษัท เฮฟวี่ ออร์แกไนเซอร์ จำกัด (Heavy Organizer) ผู้จัดคอนเสิร์ตที่อยู่ในวงการมากว่า 20 ปี กำลังขับเคลื่อน “วันปล่อยเสือ5” ตอน จงมันส์ดี ให้เป็น Music Festival ภายใต้แนวคิด Green Heavy ทีมผู้จัดที่เชื่อว่า “ความมันส์” กับ “ความยั่งยืน” ไม่จำเป็นต้องแยกกันอยู่ 

เบื้องหลัง ‘วันปล่อยเสือ 5’ เทศกาลดนตรี Eco Friendly ที่ทั้งมันส์และรักษ์โลก

ผมเชื่ออย่างหนึ่ง ไม่มีใครไม่รักโลกหรอก แต่เราจะสื่อสารอย่างไรให้เฟี้ยว มันส์ และเข้าใจง่าย พวกเราเชื่อว่าความสนุกมันไปกับความยั่งยืนได้ โลกไม่เคยปฏิเสธ นอกจากคุณจะปฏิเสธโลก ซึ่งโลกไม่เคยปฏิเสธใครอยู่แล้ว 

เฮง โคตรอินดี้ หรือ บุรินทร์ทร แซ่ล้อ หนึ่งในทีมผู้จัด สะท้อนแนวคิดของทีมผู้จัดกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ทำให้เห็นภาพของทีมผู้จัดงานที่อยู่เบื้องหลังความสนุกมากมายในวงการดนตรีไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมา

เบื้องหลัง ‘วันปล่อยเสือ 5’ เทศกาลดนตรี Eco Friendly ที่ทั้งมันส์และรักษ์โลก

กลางผืนป่าของอำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี ค่ายลูกเสือภูริทัต คือสถานที่จัดงาน “วันปล่อยเสือ 5” เทศกาลดนตรีที่แตกต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะไม่ได้มีแค่เวทีใหญ่และศิลปิน 82 ชีวิต แต่ยังเป็นครั้งแรกที่คอนเสิร์ตถูกออกแบบให้เป็น “Eco Friendly Festival” อย่างจริงจังในทุกมิติ

เบื้องหลัง ‘วันปล่อยเสือ 5’ เทศกาลดนตรี Eco Friendly ที่ทั้งมันส์และรักษ์โลก

ตลอด 2 วันระหว่างวันที่ 25–26 ตุลาคม 2568 พื้นที่กว่า 720 ไร่ จะถูกแปลงเป็นค่ายลูกเสือขนาดใหญ่ มี 5 เวทีหลัก 10 ฐานกิจกรรม และโซนวัฒนธรรมชนเผ่าที่ผสมกลิ่นอายของธรรมชาติ ความบันเทิง และความรับผิดชอบต่อโลกเข้าไว้ด้วยกัน

บรรยากาศของงานในปีนี้จึงไม่เหมือนเทศกาลดนตรีทั่วไป พื้นที่กว้างของมวกเหล็กเต็มไปด้วยเสียงเพลงหลายแนว วัฒนธรรมท้องถิ่น รถคลาสสิก และตลาดชุมชน ร้านค้ากว่า 60 ร้านจากผู้ประกอบการท้องถิ่นช่วยกันสร้างสีสันให้พื้นที่สีเขียวแห่งนี้ โดยทุกคนมีเป้าหมายร่วมกันในการลดการใช้พลาสติกและส่งเสริมการใช้ภาชนะย่อยสลายได้จาก Gracz ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์จากธรรมชาติ สำหรับอุตสาหกรรมอาหารส่งออก-แช่แข็ง 

เราไม่ได้บังคับใคร แต่เชื่อว่าจิตสำนึกต้องเกิดจากหัวใจ

แคมเปญ “1,200 ฝาแลกบัตร” จุดประกายจิตสำนึกรักษ์โลก

หนึ่งในแคมเปญที่สะท้อนแนวคิดนี้ได้อย่างชัดเจน คือ 1,200 ฝาแลกบัตรเข้างาน ที่ชวนคนหันมาคัดแยกขยะและรีไซเคิลอย่างสนุกสนาน ขยะทุกชิ้นถูกนำมาชั่งน้ำหนัก บันทึกข้อมูล และแปรรูปต่อ โดยร่วมมือกับสมาคมซาเล้ง เยาวชนอาสา และทีมงาน “สระบุรีแซนด์บ็อกซ์” ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นแบบผลักดันจังหวัดสู่เมือง Low Carbon

แม้ฟังดูง่าย แต่เบื้องหลังกลับซับซ้อน ทั้งระบบลงทะเบียนออนไลน์ การตรวจแยก การจัดเก็บ และการประเมินปริมาณขยะ

เหนื่อยนะ หนักทั้งหน้าบ้านหลังบ้าน แต่เรายังอยากทำ เพราะมันคือการเริ่มต้นให้คนเห็นว่า สนุกได้ แบบไม่ทำร้ายโลก เรื่องของการท่องเที่ยว ก็สนับสนุนให้คนมาเที่ยวปกติ มา 4 คน มา 1 คันได้ไหม มารถ EV ได้ไหม งานนี้ทุกการทิ้งจะแปรเปลี่ยนเป็นเงิน เราจะไปคัดแยกแล้วก็ได้เงินมา แล้วก็เอาเงินมาซื้ออุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์กีฬาให้น้องๆ โรงเรียนที่ขาดแคลน ทุกการทิ้งก็จะแปรเปลี่ยนไป เป็นทุนต่อไปให้โอกาสคนอื่นต่อไป

 

Heavy Green ยูนิตใหม่ด้านสิ่งแวดล้อม

ปีนี้ Heavy ยังเปิดตัว “Heavy Green” ยูนิตใหม่ด้านสิ่งแวดล้อมที่ได้รับการประกาศรับรองนโยบายการดำเนินการอย่างเป็นทางการจากเวที Climate Action Forum (CAF) และ Climate & Sustainability Capital Forum (CS Capital Forum) ณ สหประชาชาติ โดยรับรองผลลัพธ์ด้าน ESG และคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่วัดผลได้จริง

พร้อมใบรับรองที่ใช้ใน Sustainability Report, Carbon Disclosure และ SDG Impact ขององค์กรได้ทันที ภายในงานจะมีการคำนวณปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์และมอบประกาศนียบัตรให้กับองค์กรผู้สนับสนุน พันธมิตร และนักท่องเที่ยว เพื่อร่วมบรรลุ SDGs และเป้าหมาย Low-Carbon Economy ที่จะเป็นประโยชน์ต่อจังหวัดสระบุรีและประเทศไทย

เพื่อนๆ ที่มางานนี้ หลักหมื่นคนที่ลงทะเบียน เราจะออก Certificate ให้ว่าได้เป็นส่วนหนึ่งของงานวันปล่อยเสือแล้วก็ร่วมในเรื่องของ Carbon Footprint ในเรื่องของความรักษ์โลกไปด้วยกัน

เบื้องหลัง ‘วันปล่อยเสือ 5’ เทศกาลดนตรี Eco Friendly ที่ทั้งมันส์และรักษ์โลก

โซนกิจกรรม Eco Playground

ภายในงานยังมีโซน “Eco Playground” กับ 10 ฐานกิจกรรมที่ใช้พลังงานสะอาดจากโซลาร์เซลล์ เปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานได้ทดลองเรียนรู้เรื่องพลังงานและสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งร่วมกับกรมป่าไม้ปลูกต้นไม้กว่า 2,000 ต้น โดยมีพันธมิตรอย่าง บุญรอด, LEO และตันพาวเวอร์ ช่วยกันรีไซเคิลขวดพลาสติกกลับไปผลิตเม็ดรีไซเคิลใหม่ แล้วก็งานนี้ยังมียิบอินซอยเข้ามาช่วยเรื่องของ Carbon Footprint เราก็ต้องแจ้งว่าคงไม่ได้ทำทั้งหมดของพื้นที่ในปีแรก

ครั้งที่ 5 คือ ครั้งแรกที่เราจะประกาศจุดยืนอย่างชัดเจน ว่า เรามาด้านนี้แล้ว แล้วก็มีความสุจริงๆ บางคนก็ถามว่าไปรับงบจากองค์กรไหน ต้องบอกกับว่าผมไม่ได้รับงบจากหน่วยงานไหน เป็นความร่วมมือกันจากใจของคนที่อยากเห็นโลกดีขึ้น

เบื้องหลัง ‘วันปล่อยเสือ 5’ เทศกาลดนตรี Eco Friendly ที่ทั้งมันส์และรักษ์โลก

แผนต่อยอดจาก “วันปล่อยเสือ” สู่ค่ายลูกเสือรักษ์โลกทั่วไทย

ปีนี้ Heavy ตั้งเป้าผลักดัน “วันปล่อยเสือ” ให้เป็นต้นแบบ Music Festival ด้านสิ่งแวดล้อมของเอเชีย พร้อมแผนขยายแนวคิดไปยัง 77 จังหวัดทั่วประเทศ ภายใต้รูปแบบ “ค่ายลูกเสือวันปล่อยเสือ” ที่ผสมผสานดนตรีกับการเรียนรู้เรื่อง Eco Friendly 

ปีหน้าจะขยายไป 77 จังหวัด เพราะวันปล่อยเสือครั้งนี้ใช้ Theme เป็นค่ายลูกเสือเอาดนตรีเข้าไปร่วมกับรักษ์โลก ความสนุกความมันส์ผสมกัน เเละก็ยึดขนบธรรมเนียมของวิชาลูกเสือมาพัฒนา คำปฏิญาณ ลูกเสือพร้อมช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ ในเทศกาลวันปล่อยเสือ จะทำแคมป์ ทำค่าย คนรุ่นใหม่ 77 จังหวัด ให้ตระหนัก รับรู้ในเรื่อง Eco Friendly เพื่อเอากลับไปใช้ให้ กับตัวเองและครอบครัว ในสถาบันเเละสังคมต่อไป

“วันปล่อยเสือ” ไม่ได้เป็นเพียงเทศกาลดนตรีรักษ์โลก แต่ยังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่นของมวกเหล็ก โดยปีนี้มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 20,000 คน โรงแรมในพื้นที่เต็มทุกแห่ง ต้องเปิดลานกางเต็นท์เพิ่ม และคาดว่ามีเงินหมุนเวียนในชุมชนไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท

สำคัญที่สุดคือได้สร้างแรงแรงกระเพื่อมให้เกิดเศรษฐกิจ สร้างเม็ดเงินในพื้นที่ น่าจะราว 100 ล้านบาท เข้าสู่ชุมชน คนร่วมงานประมาณ 20,000 คน คนละ 5,000 ก็ 100 ล้านเป็นอย่างน้อย ทั้งมาก่อนแล้วพักค้างคืน 2 วัน เสร็จจากงานบางคนลางานวันจันทร์อยู่ต่อ ก็จะไปเที่ยวคาเฟ่ ซื้อของที่ระลึก แล้วเม็ดเงินก็จะเคลื่อนไหว  เพราะตอนนี้โรงแรมเต็มหมดแล้ว เเต่มีการเปิดลานกางเต็นท์ใหม่หลายจุด

เขาทิ้งท้ายว่า อยากให้มวกเหล็กกลายเป็นดินแดนแห่งแคมป์แบบ Eco Friendly เป็น Creative Space สำหรับนักคิด นักเขียน และคนทำงาน ที่จะได้มาพัก สูดอากาศ และหาแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ

สาย Digital Nomad ทั้งคนไทยและต่างประเทศ นักคิด นักเขียน นัก Marketing ได้มีพื้นที่ธรรมชาติ ที่ทำให้ได้ไอเดียกลับไปลุยกันต่อหลังจากเหนื่อยกับการทำงาน ก็ถือว่าเป็น Creative Space ที่เรากำลังจะสร้าง น่าจะใช้เวลาอีกสัก 3-5 ปี

เบื้องหลัง ‘วันปล่อยเสือ 5’ เทศกาลดนตรี Eco Friendly ที่ทั้งมันส์และรักษ์โลก

จากเวทีไทยสู่สายตาโลก

“วันปล่อยเสือ” ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในประเทศ ปีนี้มีวงดนตรีจากกรุงโซล เกาหลีใต้ บินมาเล่นบนเวทีเดียวกัน และในปีหน้า ผู้จัดเผยว่ากำลังประสานให้มีวงจากต่างประเทศเข้าร่วมไม่ต่ำกว่า 10 วง

สิ่งนี้ไม่ใช่แค่การแลกเปลี่ยนทางดนตรี แต่คือ การทำงานเชื่อมโยงระดับประเทศกับประเทศ (State-to-State Collaboration) ที่จะช่วยเปิดประตูให้โลกได้เห็นว่า ประเทศไทยมีเทศกาลดนตรีที่มันได้ และรักษ์โลกได้ในเวลาเดียวกัน

เบื้องหลัง ‘วันปล่อยเสือ 5’ เทศกาลดนตรี Eco Friendly ที่ทั้งมันส์และรักษ์โลก

เบื้องหลัง ‘วันปล่อยเสือ 5’ เทศกาลดนตรี Eco Friendly ที่ทั้งมันส์และรักษ์โลก

หนึ่งในทีมผู้จัดจาก Heavy บอกอย่างตรงไปตรงมาว่า สิ่งที่ทำ ไม่ใช่แค่ในฐานะผู้จัดงาน แต่คือ พลเมืองโลกที่ติดธงชาติไทย เเละมีเป้าหมายชัดเจนว่า ปีหน้า “วันปล่อยเสือ” จะต้องกลายเป็นงานเทศกาลดนตรีต้นแบบของเอเชีย หรือแม้แต่ของโลก ที่ว่าด้วยเรื่องของ Eco อย่างแท้จริง

น่าจะทำให้เกิดการสื่อสารมากขึ้นในแง่ของ Branding หมายถึง เมืองไทยก็จะมี Festival ที่ทั่วโลกได้เห็นว่า ก็มีงาน Eco Friendly ที่มันส์ได้ขนาดนี้

คำว่า Eco Friendly มีที่มาที่ไป

ตลอด 22 ปีที่ “Heavy” เดินอยู่บนเส้นทางสายดนตรี ผ่านเทศกาลและคอนเสิร์ตกว่า 15-20 งานต่อปี ทั้งขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ ตั้งแต่ปี 2546 จนถึงวันนี้ ผ่านทั้งความสำเร็จ ความเหนื่อย และบททดสอบมากมาย แต่ทุกอุปสรรคถูกแปรเป็นพลังสร้างสรรค์เสมอ

เฮง โคตรอินดี้ เล่าว่า เสียงเพลงคือสิ่งที่อยู่ด้วยกันมาตลอดชีวิต เคยยืนอยู่บนเวทีใหญ่ทั้งใน Wonderfruit และเทศกาลที่ไต้หวันและเกาหลีใต้ จนกระทั่งวันหนึ่งทุกอย่างหยุดลงเมื่อโควิด-19 ระบาด

ในช่วงที่อุตสาหกรรมอีเวนต์หยุดชะงัก "ทำอะไรไม่ได้ 2 ปีกว่า ผมก็เลยไปทำนา" เริ่มจากความตั้งใจว่า "อยากปลูกข้าวดี ๆ ให้แม่ได้กิน"  จากนั้นจึงค่อย ๆ ศึกษา “ศาสตร์พระราชา” ของในหลวงรัชกาลที่ 9 อย่างจริงจัง จนเข้าใจว่าการทำนาไม่ใช่แค่ปลูกข้าว แต่คือการสร้างระบบนิเวศที่ดีต่อดิน น้ำ และคน

ระหว่างเส้นทางใหม่นั้น “น้องชาย” คือคนที่สอนให้รู้จักการบ่มข้าว แต่ไม่นานเมื่อน้องชายก็จากไปด้วยโรคมะเร็ง เหตุการณ์นั้นทำให้ต้องสานต่อสิ่งที่เริ่มไว้ให้ถึงที่สุด โดยกลับมาทำนาแบบปลอดสาร ไม่เผาฟาง ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ใช้จุลินทรีย์และปุ๋ยหมักอินทรีย์แทนยูเรีย ผลผลิตรุ่นแรกได้เพียง 45 ถัง แต่ก็เพิ่มขึ้นเป็น 85 ถังในปีถัดมา นี่คือการลงมือทำจริงของคนที่ไม่เคยเป็นชาวนามาก่อน

ปลดหนี้ชาวนา โมเดลความดีที่ต้องใช้ความอดทน

จากการทำนาเพียงลำพัง จึงชวนชาวบ้านอีก 5 ครอบครัวมาทำด้วยกัน พูดกันในวงเล็ก ๆ เพราะรู้ว่าถ้าบอกทั้งหมู่บ้านจะมีเสียงคัดค้าน หลายคนคงไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเปลี่ยน ทั้งที่เคยใช้เคมีมาตลอดก็อยู่ได้ เป้าหมายเดียวคือ “ปลดหนี้ชาวนา” ด้วยวิธีออร์แกนิกและการคำนวณต้นทุน ตกต้นทุนไม่ถึง 3,000 บาทต่อไร่ แม้สุดท้ายจะเหลือเพียงสองครอบครัวที่ยังทำต่อได้ แต่ก็เพียงพอจะพิสูจน์ว่า

การทำดีต้องช้า ต้องอดทน แต่ได้ผลแน่นอน

เมื่อทำต่อเรื่อย ๆ แต่ไม่นานก็ต้องหยุดลง เพราะเริ่มมีเสียงสะท้อนกลับมาว่าแนวทางที่ทำจะกระทบต่อการขายปุ๋ยและยาในท้องตลาด 

เอาตรง ๆ ถ้าทั้งประเทศไม่ใช้ปุ๋ย โรงงานปุ๋ยยาที่มันมีพิษก็อยู่ไม่ได้

ถึงต้องหยุด เเต่ก็กลับมาผลักดันข้าวของตัวเอง ผลผลิตในเวลานั้นกลายเป็น “ข้าวระยะปลอดภัย” ที่ไม่มีสารเคมี ไม่มีการอบมอด และได้วางขายในกูร์เม่ต์มาร์เก็ตถึง 17 สาขา

เรากินข้าวที่ไม่มียาอบมอด มันดีต่อสุขภาพ ดีต่อดิน น้ำ และอากาศ

จากผืนนากลับสู่เวที คำถามใหม่ของคนทำเพลง

เมื่อกลับมาสู่โลกของดนตรีอีกครั้ง โดยตั้งคำถามว่า คอนเสิร์ตที่ทำมีประโยชน์กับส่วนรวมหรือไม่ คำถามนั้นกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของคนทำเพลงคนหนึ่ง จึงเริ่มมองหาความหมายใหม่ให้กับการจัดคอนเสิร์ต และพบคำตอบว่า จะทำก็ต่อเมื่อดีต่อโลกเท่านั้น

เบื้องหลัง ‘วันปล่อยเสือ 5’ เทศกาลดนตรี Eco Friendly ที่ทั้งมันส์และรักษ์โลก

จากความตั้งใจนั้น จึงเกิดแนวคิด Eco Friendly Festival ในงานวันปล่อยเสือปีที่ 5 เทศกาลดนตรีที่ Heavy ตั้งใจให้เป็นพื้นที่สีเขียวของความสนุก

ผมชอบคำว่า Eco Friendly เพราะฟังแล้วมีชีวิต มีความสุข เป็นมิตร เหมือนคนเฟรนด์ลี่กับสิ่งแวดล้อม