net-zero

กสิกรไทย ปรับเป้าสินเชื่อยั่งยืน 5 แสนล้าน ช่วยผู้ประกอบการปรับตัว รับ Net Zero

In Brief

  • ธนาคารกสิกรไทยปรับเพิ่มเป้าหมายการให้สินเชื่อและการลงทุนเพื่อความยั่งยืนเป็น 5 แสนล้านบาท ภายในปี 2573
  • มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ โดยเฉพาะการขยายฐานสู่กลุ่มเอสเอ็มอี ให้สามารถปรับตัวรับมือกับเป้าหมาย Net Zero
  • การปรับเป้าครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อและการลงทุนเพื่อความยั่งยืนได้เร็วกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 2 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ยังต้องพึ่งพาการมีส่วนร่วมและการลงทุนจากภาคเอกชนอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันการเงินที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนกระแสเงินทุนสู่เศรษฐกิจสีเขียว

ในงานสัมมนา MFLF Sustainability Forum 2025 “วิกฤตโลก ทางออกไทย” จัดโดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ทางธนาคารกสิกรไทย ได้ชี้ให้เห็นว่า การเงินสีเขียวกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศหรือภาวะโลกร้อน

สะท้อนได้จากในปี 2566 ทั่วโลกมีการจัดสรรเงินทุนระดับโลก เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Global climate finance) ทั้งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือการปรับตัวเพื่อรับผลกระทบ ในวงเงินถึงประมาณ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นประมาณ 1.7% ของ GDP โลก โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 19% (2561-2566)

กสิกรไทย ปรับเป้าสินเชื่อยั่งยืน 5 แสนล้าน ช่วยผู้ประกอบการปรับตัว รับ Net Zero

ทั้งนี้ เงินทุนเพื่อสภาพภูมิอากาศส่วนใหญ่ 61% มาจากเงินกู้ และมีอัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามกลไกตลาดสูงถึง 90% ในขณะที่สัดส่วนของเงินทุนประเภทให้เปล่า (Concessional finance) ลดลงมาอยู่ที่ 7% ในปี 2566 นอกจากนี้ เงินทุนส่วนใหญ่ 72% ถูกนำไปใช้ในภาคพลังงานและภาคการขนส่ง ซึ่งเป็นภาคส่วนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง

มีการคาดการณ์ว่า ในปี 2573 วงเงินที่จัดสรรให้กับ Global climate finance จะเพิ่มขึ้นเป็น 4.4-6.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 2-3 เท่า จากปัจจุบัน และ ในช่วงปี 2574-2593 คาดว่าวงเงินดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็น 7.1-9.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 4-5 เท่า จากปัจจุบัน

 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเงินทุนเพื่อสภาพภูมิอากาศทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เงินลงทุนส่วนใหญ่กลับกระจุกตัวอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ทำให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา นอกจากนี้ กระแสเงินทุนจากภาครัฐและเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเงินทุนจากภาครัฐลดลง 8% ในช่วงปี 2565-2566 และอาจลดลงได้อีกในอนาคต ทำให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวของแต่ละประเทศต้องหันมาพึ่งพาเงินทุน ภายในประเทศจากภาคเอกชนเป็นหลัก

 ในขณะที่ประเทศไทยในฐานะหนึ่งในประเทศกำลังพัฒนา ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ได้แสดงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ในการมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ภายในปี 2608 และล่าสุดกำลังจะประกาศร่างเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contribution : NDC) หรือ NDC 3.0 ที่ตั้งเป้าหมายสู่ Net Zero ในปี 2593 เร็วกว่ากำหนดเดิมถึง 15 ปี ซึ่งจะต้องได้รับการสนับสนุนเงินทุนและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ

โดยร่างดังกล่าวจะนำเสนอต่อสำนักเลขาธิการของ UNFCCC ก่อนการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 30 (COP30) ณ สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2568 นี้

มีการประเมินว่า หากประเทศไทยจะดำเนินงานให้บรรลุดเป้าหมาย NDC 3.0 ต้องอาศัยเงินลงทุนจำนวนมหาศาล โดยประมาณการว่าต้องใช้เงินลงทุนรวมสูงถึง 15.3 ล้านล้านบาท ในช่วง 12 ปี ระหว่างปี 2566 ถึง 2578 ซึ่งช่วงระยะเร่งด่วน 7 ปีแรก (2566-2573) ต้องใช้เงินลงทุนถึง 5.3 ล้านล้านบาท

จากภาพสะท้อนดังกล่าว ส่งผลให้ธนาคารกสิกรไทย จำเป็นต้องรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะการสสนับสนุนสินเชื่อและการลงทุนสีเขียว เพื่อช่วยผู้ประกอบการเร่งเปลี่ยนผ่านหรือปรับตัวรับมือกับกระแสโลกที่เป็นอยู่ โดยเตรียมจะปรับเป้าหมายการสนับสนุนด้านการเงินและการลงทุนเพื่อความยั่งยืนใหม่ เป็น 5 แสนล้านบาท ภายในปี 2573 จากการขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มเอสเอ็มอีมากขึ้น จากเดิมที่ปล่อยให้รายใหญ่

ในช่วง 3 ปี ตั้งแต่ปี 2565 ถึง ธันวาคม 2567 ธนาคารกสิกรไทย ได้ปล่อยสินเชื่อและลงทุนในโครงการด้านความยั่งยืนรวมถึง 121,897 ล้านบาท และปัจจุบันสะสมมาอยู่ที่ 1.65 แสนล้านบาท โดยปี 2569 มีเป้าหมายปล่อยสินเชื่อดังกล่าวอีก 44,406 ล้านบาท ส่งผลให้การสนับสนุนสินเชื่อและการลงทุนสีเขียวทะลุ 2 แสนล้านบาท เร็วกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ภายในปี 2573

ดังนั้น การดำเนินการของธนาคารกสิกรไทยไม่เพียงแต่จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และสร้างความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลกที่ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในอนาคต