In Brief
ธนาคารโลก (World Bank) เผยรายงาน Thailand Country Climate and Development Report (CCDR) ฉบับล่าสุด (เมษายน 2568) ชี้ว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งภัยพิบัติทางธรรมชาติและแรงกดดันจากการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก ที่หันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนและลดคาร์บอน
รายงานระบุว่า แม้ไทยเคยเป็นหนึ่งในประเทศที่เติบโตทางเศรษฐกิจเร็วที่สุดในเอเชีย แต่ในช่วงหลังการเติบโตเริ่มชะลอตัวจากโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพาภาคเกษตรและอุตสาหกรรมดั้งเดิม
เวิลด์แบงก์ชี้ว่า น้ำท่วมยังเป็นภัยพิบัติที่รุนแรงและเกิดบ่อยที่สุดในไทย ขณะที่ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นและการกัดเซาะชายฝั่งคุกคามเขตเศรษฐกิจสำคัญ ส่วนภัยแล้งที่รุนแรงขึ้นในภาคเหนือและอีสาน ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลงและกระทบรายได้ของเกษตรกร
รายงานเวิลด์แบงก์ ยังประเมินว่า ไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 0.88% ของการปล่อยทั่วโลก โดยภาคพลังงานเป็นแหล่งใหญ่สุด รองลงมาคือภาคเกษตรและอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ไทยตั้งเป้าหมายบรรลุ “ความเป็นกลางทางคาร์บอน” (carbon neutrality) ภายในปี 2593 และ “การปล่อยสุทธิเป็นศูนย์” (Net Zero) ภายในปี 2608 ซึ่งต้องการการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างขนาดใหญ่
เวิลด์แบงก์เสนอให้ไทยเร่งเดินหน้าแผนลดการปล่อยก๊าซและปรับตัวต่อภัยภูมิอากาศ โดยเน้น 3 มาตรการหลัก ได้แก่
1. ปรับโครงสร้างระบบพลังงานไปสู่พลังงานหมุนเวียนและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
2. สนับสนุนภาคอุตสาหกรรมและเกษตรให้ใช้เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ
3. เสริมระบบจัดการน้ำและโครงสร้างพื้นฐานรับมือภัยพิบัติ
นอกจากนี้ รายงานเวิลด์แบงก์ยังเห็นว่า “เศรษฐกิจสีเขียว” จะเป็นโอกาสใหม่ของไทยในการสร้างการเติบโตระยะยาว เช่น การลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) พลังงานแสงอาทิตย์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มศักยภาพการส่งออกและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
เวิลด์แบงก์เน้นย้ำว่า ความสำเร็จของไทยในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะขึ้นอยู่กับการจัดลำดับนโยบายและการระดมเงินทุนอย่างเป็นระบบ ทั้งจากภาครัฐและเอกชน รวมถึงการใช้กลไกตลาดคาร์บอน (carbon market) และภาษีคาร์บอน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคธุรกิจลดการปล่อยก๊าซ
รายงานสรุปว่า หากไทยสามารถเดินหน้าการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำได้อย่างเป็นรูปธรรม จะไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงจากภัยภูมิอากาศเท่านั้น แต่ยังเป็น “โอกาสทอง” ในการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่ยั่งยืนและแข่งขันได้ในตลาดโลกสีเขียว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง