ศูนย์วิจัยกสิกรฯ ชี้ภาษีทรัมป์กระทบส่งออก-จีดีพีไทย เสี่ยงย้ายฐานผลิต

27 ก.ค. 2568 | 08:10 น.
อัปเดตล่าสุด :27 ก.ค. 2568 | 08:10 น.

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ หากไทยโดนเก็บภาษีทรัมป์ 36% กระทบจีดีพี 0.2% ส่งออกหดตัว 10% โดนซ้ำจากบาทแข็ง ส่งผลต่อการค้า การลงทุนระยะยาว  หากเจรจาเหลือ 25% จีดีพีจะโตได้ 1.4% แนะธุรกิจต้องปรับตัวหาตลาดใหม่

ใกล้ถึงเส้นตายที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีศุลกากรใหม่สำหรับ 14 ประเทศ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 โดยที่ไทยถูกกำหนดให้อัตราภาษีที่ 36% ขณะที่สหรัฐฯได้บรรลุข้อตกลงกับฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย โดยภาษีฟิลิปปินส์ลดลงเหลือ 19% ส่วนอินโดนีเซียเหลือ 19% จากก่อนหน้าที่เวียดนามได้ภาษีในอัตรา 20% 

ล่าสุดนายโดนัลด์ ทรัมป์ออกมาระบว่า สหรัฐจะไม่มีการเจรจาเรื่องภาษีการค้ากับไทยและกัมพูชา หากทั้ง 2 ประเทศไม่ยุติสู้รบและต้องการให้นำเรื่องกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาทางการค้ากับสหรัฐ

นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัดเปิดเผย“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมอง 2 ฉากทัศน์ที่เป็นไปได้คือ  หากไทยโดนเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 36% ยาวไปถึงปีหน้าคาดว่า จะส่งผลกระทบต่อจีดีพีไทยปีนี้ประมาณ 0.2% จากเดิมประเมินไว้ที่ 1.4% ซึ่งเป็นผลกระทบจากการส่งออกหดตัวประมาณ 10% เพราะกดดันผู้ส่งออกทั้งอัตราภาษีนำเข้าที่สูงและเงินบาทที่แข็งค่า  

นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด

ทั้งนี้ ข้อมูลเดือนก.ค.ที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าราว 5.0% ขณะที่เงินด่องของเวียดนามอ่อนค่า 2.7% สะท้อนความสามารถในการแข่งขันของไทยด้อยกว่าเวียดนาม ขณะที่เวียดนาม โดยเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ 20% ซึ่งต่ำกว่าไทยด้วย 

ส่วนการลงทุนภาคเอกชนจะติดลบ 1.0% และเริ่มเห็นการย้ายฐานการผลิตในปีหน้า (2569) และหากการเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐล่าช้า ยังมีผลกระทบให้ผู้นำเข้าไปหาแหล่งนำเข้าจากประเทศอื่น ที่อัตราภาษีต่ำกว่าไทย อย่างเวียดนาม โดยสินค้าที่คาดว่าไทยจะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในตลาดสหรัฐให้เวียดนาม เช่น ปลาแปรรูป  ข้าว  กล้องวีดิโอ  หม้อแปลงไฟฟ้า

ส่วนสินค้าที่เสี่ยงสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้มาเลเซียได้แก่ ปริ้นเตอร์  เครื่องจักรไฟฟ้า และไทยก็เสี่ยงจะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้ญี่ปุ่นเช่น พริ้นเตอร์  เครื่องปรับอากาศ และเกาหลีก็ส่งออกเครื่องปรับอากาศ 

“หากสินค้าไทยเสี่ยงจะสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดในสหรัฐให้ประเทศอื่นๆ ย่อมส่งผลให้นักลงทุนอาจจะชะลอการลงทุนหรือไม่ลงทุนเพิ่มรวมถึงต้องทบทวนปรับเปลี่ยนห่วงโซ่การผลิต  เพราะเจอภาษีในอัตราสูงไม่คุ้มต้นทุนและท้ายที่สุดก็นำมาซึ่งการย้ายฐานการผลิต” 

ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ย่อมกระทบซัพพลายเชนในประเทศ หากกระทบยอดขายนาน มีความเสี่ยงที่จะลามคนตกงาน ขณะเดียวกันระหว่างทาง ถ้าภาคเกษตร/อุตสาหกรรม ได้รับผลกระทบย่อมย่อมกดกำลังซื้อหรือการบริโภคในประเทศที่ชะลออยู่ด้วย 

นอกจากนั้น ยังมีความไม่แน่นอนที่เป็นความเสี่ยงในระยะข้างหน้า  ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งตะวันออกกลางอาจปะทุขึ้นมาอีก หากกระทบราคาน้ำมันที่เป็นต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นอีกจะซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย  บวกกับจำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้ มีแนวโน้มอาจจะไม่ถึง 34.5 ล้านคน จากปีที่แล้วนักท่องเที่ยวเข้ามา 35.5 ล้านคน และเสถียรภาพทางการเมืองของไทยที่ยังเป็นโจทย์เศรษฐกิจไทยด้วย 

อย่างไรก็ตาม สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดที่ใหญ่ ซึ่งทิ้งไม่ได้ หากจะต้องรับภาษีในอัตรา 36% รัฐบาลก็ต้องพิจารณามาตรการในการเยียวยา เพื่อช่วยลดต้นทุนธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเฉพาะหน้า  อาจจะต้องช่วยลดภาระต้นทุนส่งออก เช่น อัตราภาษี หรือค่าธรรมเนียมต่างๆ เพื่อให้ธุรกิจปรับตัว  หาตลาดใหม่ นอกจากนี้ สิ่งที่รัฐบาลทำได้อยู่ระหว่งางการเจรจากับจีนหรือยุโรป  และตลาดประเทศอื่นๆเป็นทางเลือก 

ฉากทัศน์ที่ 2 กรณีไทยโดยจัดเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่ 25% ส่วนตัวมองว่า เป็นฉากทัศน์ที่เป็นไปได้ ประมาณการจีดีพีที่ระดับไปได้  แต่ไม่รู้ว่าไทยต้องเปิดตลาดสินค้าเกษตรประมาณไหน และรัฐบาลจะต้องเยียวยาธุรกิจอย่างไร 

อย่างไรก็ตาม การเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐมองว่า ไม่น่าจะเจรจาได้ข้อสรุปในเร็ววัน และจากที่ติดตามข่าวออกมา หลายประเทศก็มีข่าวอัตราภาษีออกมาได้ตรงกับที่ได้คุยกันไว้  

เพราะฉะนั้น รัฐบาลไทยเองก็ต้องทำการบ้านหลัก สิ่งที่ต้องแลกและสิ่งที่จะได้มา  “ต้องเลือกอันไหนที่มีผลกระทบน้อยที่สุด” และท้ายที่สุดผลประโยชน์ของประเทศชาติอยู่ตรงไหน และรัฐบาลจะเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างไร 

ทั้งนี้ ถ้าบนสมมติฐานภาษีในอัตรา 36% มาตรา 232 ซึ่งเป็นรายอุตสาหกรรมที่โดนภาษีไปแล้ว เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์  ภาษีที่ถูกจัดเก็บ 25-50% แต่ไม่ได้หมายความว่า ชิ้นส่วนรถยนต์ทุกชนิดจะเข้าไปอยู่ในมาตรา 232 เหมือนกันทั่วโลก  

ดังนั้น ต้องตรวจสอบรายละเอียดพิกัดศุลกากรบางรายการที่ไทยส่งออกไป และมีประเทศไหนส่งออกสินค้าประเภทนี้เหมือนไทยอีก ส่วนเหล็กอลูมิเนียมภาษีนำเข้าจะสูงกว่า 36% และที่จะจัดเก็บอีกคือ ทองแดง 

“ไทยตอนนี้เหมือนไม้กระดกคือ เลือกอันหนึ่ง อีกอันก็ต้องแลก คือ แบ่งเป็น 2ขา  ถ้าภาษีนำเข้าอัตรา 36% ได้รับผลกระทบหมด  แต่ถ้าเราต้องแลกกับการเปิดตลาด สมมติเราได้ภาษีในอัตรา 20% พอแข่งขันกันได้ ทุกคนหายใจคล่องหน่อย แต่หากไทยต้องเปิดตลาดเกษตรทั้งหมด  โดยเปิดให้สหรัฐเข้ามาเต็มตลาด ซัพพลายเชนก็จะได้รับผลกระทบ ซึ่งคนที่จะได้รับผลกระทบหนักคือ เกษตรกรในประเทศ  ปศุสัตว์ และธุรกิจ” 

สำหรับคำแนะนำ ในมุมธุรกิจที่พอจะทำได้ในปีนี้คือ ต้องหากระจายตลาด เพื่อประทังไปก่อน  และขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลเรื่องต้นทุนส่งออก เช่น ภาษีและค่าธรรมเนียมต่างๆ  และช่วยเหลือแรงงาน 2-3 เดือนซึ่งเป็นโจทย์ของรัฐบาลที่ต้องเตรียมงบประมาณรองรับผลกระทบจากภาษีนำเข้าทรัมป์ โดยต้องนำข้อมูลมากางดูเพื่อปรับนโยบายหรือมาตรการให้ตรงจุด

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ใช้ในการประเมินตอนนี้อยู่บนสมมติฐาน  3ปัจจัย คือ 1.ถ้าไทยโดนอัตราภาษีที่สูงกว่าคนอื่นคือ  36%  2.ยังไม่รวมว่าไทยต้องไปแลกอะไรมา  และ 3.ไม่รู้ว่าระหว่างจีนกับสหรัฐที่จะครบกำหนด 12 ส.ค.จะมีการคุยเรื่องภาษีที่อัตรา 10% หรือไม่ เพราะที่ผ่านมาทางการจีนออกมาประกาศว่า ถ้าใครตัดจีนออกจากห่วงโซ่การผลิต  ทางจีนก็จะตอบโต้

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,117 วันที่ 27 - 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2568