ท่ามกลางภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกที่ผันผวน อุตสาหกรรมปิโตรเคมีและพลาสติกของประเทศไทยกำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เสวนา “อุตสาหกรรมพลาสติกไทย - ปิโตรเคมี ได้หรือเสีย...จากภาษีทรัมป์” ที่จัดโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568 ทำให้เห็นถึงสองความท้าทายหลักที่กำลังถาโถมเข้ามาพร้อมกัน นั่นคือกระแสกีดกันทางการค้าในระดับโลก และแรงกดดันจากข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมสากลที่เข้มงวดขึ้น
มาตรการภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายกีดกันทางการค้าที่มุ่งเปลี่ยนระบบการค้าโลกจากการค้าเสรีไปสู่การค้าแบบทวิภาคีที่มีการบริหารจัดการมากขึ้น นโยบาย "ภาษีแบบต่างตอบแทน" (Reciprocal Tariff) มีเป้าหมายเพื่อกำหนดอัตราภาษีนำเข้าที่ใกล้เคียงกับอัตราที่ประเทศคู่ค้าเรียกเก็บจากสหรัฐฯ
แม้ว่าประเทศไทยจะสามารถเจรจาจนลดอัตราภาษีลงเหลือเพียง 19% ทำให้อัตราภาษีของไทยเทียบเท่ากับประเทศเพื่อนบ้านสำคัญอย่างมาเลเซีย, กัมพูชา, อินโดนีเซีย, และฟิลิปปินส์
เมื่อพิจารณาในบริบทระดับภูมิภาค จะพบว่า "เม็กซิโก" ซึ่งถูกระบุว่าเป็นคู่แข่งสำคัญ ไม่ได้เผชิญหน้ากับนโยบายภาษีแบบต่างตอบแทนนี้ แต่กลับได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษภายใต้ข้อตกลงการค้า United States–Mexico–Canada Agreement (USMCA) ซึ่งให้การยกเว้นสินค้าบางประเภทจากข้อจำกัดการนำเข้าและส่งออก รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไฮโดรคาร์บอนและปิโตรเลียมบางชนิด (Certain hydrocarbon and petroleum based products) ซึ่งสร้างความได้เปรียบเชิงโครงสร้างในระยะยาวที่ชัดเจนเหนือผู้ผลิตของไทย
สถานการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่าการแข่งขันไม่ได้จำกัดอยู่เพียงตัวเลขอัตราภาษี แต่เป็นการแข่งขันในระดับที่ไทยยังคงมีความเปราะบางเนื่องจากขาดข้อตกลงที่ครอบคลุม นอกจากนี้ การที่ประเทศอื่น เช่น จีน เผชิญกับอัตราภาษีที่สูงจากสหรัฐฯ ก็ทำให้เกิดปัญหาการเบี่ยงเบนทางการค้า ซึ่งสินค้าส่วนเกินจากประเทศเหล่านั้นจะทะลักเข้าสู่ตลาดอื่นรวมถึงประเทศไทย ทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงและส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ผลิตในประเทศ
จากข้อมูลปี 2566 อุตสาหกรรมนี้สร้างมูลค่าเพิ่มตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานกว่า 2.4 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็นประมาณ 13% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) นอกจากนี้ ยังสร้างรายได้จากการส่งออกมูลค่าสูงกว่า 500,000 ล้านบาท หรือประมาณ 5% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของประเทศ อุตสาหกรรมนี้ยังเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยสร้างงานให้กับคนไทยมากกว่า 400,000 ตำแหน่ง และเป็นแหล่งวัตถุดิบหลักสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เป็น New S-Curve ของประเทศ เช่น ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และบรรจุภัณฑ์
แม้จะมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ แต่สถานการณ์ปัจจุบันก็กำลังเผชิญกับภาวะอุปทานส่วนเกิน (Over Supply) ในตลาดโลก
นายเดชาธร ฐิสิฐสกร คณะทำงานสายเศรษฐกิจและการค้า กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ส.อ.ท. เปิดเผยว่า การค้าโลกในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมากและเต็มไปด้วยความท้าทาย โดยสหรัฐฯ ได้จัดเก็บภาษีต่างตอบแทนจากไทยในอัตรา 19% บวกกับภาษีเดิมอีก 5% ทำให้สินค้าที่ส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ต้องเสียภาษีรวมสูงถึง 24%
ขณะที่สินค้าพลาสติกและปิโตรเคมีจากประเทศคู่แข่งกลับเผชิญอัตราภาษีต่ำกว่าไทย ส่งผลให้ไทยจำเป็นต้องเร่งปรับตัวทั้งด้านโครงสร้างอุตสาหกรรม และหาตลาดส่งออกใหม่ ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง
นอกจากนี้ยังระบุว่า อุตสาหกรรมปิโตรเคมีโลกได้ผ่านพ้นช่วงขาลงไปแล้ว และในประเทศไทยก็เริ่มเห็นสัญญาณบวก เนื่องจากปัญหาโอเวอร์ซัพพลายเริ่มคลี่คลาย
เชื่อว่าในปี 2028 ภาพรวมอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของไทยจะปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ด้าน นายฐิติธัม พงศ์พนางาม ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก ส.อ.ท. มองว่า สถานการณ์ของอุตสาหกรรมพลาสติกไทยวันนี้เต็มไปด้วยทั้งโจทย์ท้าทายและโอกาส ไม่ว่าจะเป็นแรงกดดันจากมาตรการกีดกันทางการค้า การปรับเปลี่ยนสมการภูมิรัฐศาสตร์โลก หรือปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่สะท้อนกลับมาเป็นต้นทุนการผลิต ผู้ประกอบการจึงไม่อาจรอให้สถานการณ์คลี่คลาย แต่ต้องปรับตัวเชิงรุก ขณะเดียวกันความร่วมมือและมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน และต่อยอดให้อุตสาหกรรมรีไซเคิลก้าวขึ้นมาเป็น “New S-Curve” ของเศรษฐกิจไทย
นอกจากนี้ยังอธิบายเพิ่มเติมว่า มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ กำลังซ้ำเติมภาระผู้ส่งออกไทย เพราะทำให้สินค้ามีราคาสูงกว่าคู่แข่ง สูญเสียส่วนแบ่งตลาด และต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นยังเกิดการเบี่ยงเบนทางการค้า (Trade Diversion) เมื่อผู้ผลิตจากประเทศอื่นนำสินค้ามาระบายเข้าสู่ตลาดเอเชีย รวมถึงไทย ส่งผลให้การแข่งขันด้านราคารุนแรงยิ่งกว่าเดิม
โลกมุ่งสู่การจัดทำสนธิสัญญาระดับโลกว่าด้วยพลาสติก
การเปลี่ยนผ่านจากโมเดลธุรกิจแบบดั้งเดิมที่เน้นการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ไปสู่ “เศรษฐกิจหมุนเวียน” (Circular Economy) จึงเป็นสิ่งจำเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโลกกำลังมุ่งสู่การจัดทำสนธิสัญญาระดับโลกว่าด้วยพลาสติก (Global Plastics Treaty) ซึ่งคาดว่าจะมีการกำหนดข้อผูกพันทางกฎหมายเพื่อควบคุมการผลิตและมลพิษจากพลาสติกให้เป็นศูนย์ภายในปี 2040 การปรับตัวของประเทศไทยก่อนที่สนธิสัญญาจะมีผลบังคับใช้จึงเป็นโอกาสสำคัญที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดพลาสติกยั่งยืนระดับโลก และสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้
ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก ส.อ.ท.ย้ำว่า พลาสติกไม่ใช่เพียงอุตสาหกรรมปลายทาง แต่เป็นฟันเฟืองที่ขับเคลื่อนทั้งเศรษฐกิจและการใช้ชีวิตในหลายมิติ หากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและพลาสติกไม่แข็งแรง การพัฒนาอุตสาหกรรม S-Curve ของประเทศก็จะสะดุดลงไปด้วย แม้ปัจจัยภายนอกจะกดดันหนัก แต่ไทยยังคงมีข้อได้เปรียบจากโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม ระบบโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยง ต้นทุนการผลิตที่เหมาะสม และคุณภาพสินค้าที่ตลาดเชื่อมั่น
สิ่งเหล่านี้ทำให้ประเทศไทยยังคงเป็นฐานการผลิตปิโตรเคมีสำคัญของภูมิภาค และมีศักยภาพในการแข่งขันบนเวทีโลก
นายวีระ ขวัญเลิศจิตต์ ผู้อำนวยการสำนักงานสมาคม PPP พลาสติก กล่าวว่า ขณะนี้กระแสเศรษฐกิจสีเขียวได้รับความสำคัญทั่วโลก เช่นเดียวกับประเทศไทยที่จำเป็นต้องเร่งเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ โดยเฉพาะในด้านการคัดแยกและกำจัดขยะอย่างถูกต้องเพื่อนำกลับมารีไซเคิล ซึ่งถือเป็นหัวใจของเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และยังเป็นโอกาสทำเงินที่สำคัญ
นอกจากนี้ยังระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีปริมาณขยะมากกว่า 3 ล้านตันต่อปี แต่สามารถกำจัดและรีไซเคิลได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายเพียง 50,000 ตันต่อปีเท่านั้น ในอนาคตยังมีแนวโน้มจะมีมาตรการบังคับเพิ่มเติม เช่น การจัดเก็บค่าธรรมเนียมความรับผิดชอบของผู้ผลิต (EPR) เพื่อรองรับมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (CBAM) รวมถึงกฎเกณฑ์ของหลายประเทศทั่วโลกที่กำลังทยอยบังคับใช้ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นโอกาสที่เปิดกว้างให้กับธุรกิจรีไซเคิลในไทย
ผู้อำนวยการสำนักงานสมาคม PPP Plastics ระบุว่า ที่ผ่านมา PPP Plastics ร่วมมือกับภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ดำเนินโครงการกว่า 40 โครงการที่สนับสนุน Roadmap การจัดการพลาสติกของประเทศ ด้วยหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน เช่น ระยองโมเดล โครงการมือวิเศษ x วน และมือวิเศษกรุงเทพ จุดรับพลาสติก โครงการ Recycle Market Application และ Smart Recycling Hub ที่ช่วยพัฒนาศักยภาพซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่า
นางภรณี กองอมรภิญโญ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก ส.อ.ท. ระบุว่า อุตสาหกรรมพลาสติกไทยยังเผชิญแรงกดดันจากมาตรฐานสิ่งแวดล้อม ทั้งจากความตกลงระหว่างประเทศและความต้องการในประเทศ เช่น การลดก๊าซเรือนกระจกและคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ทำให้ผู้ผลิตต้องเร่งปรับกระบวนการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับเป้าหมายดังกล่าว ปัจจุบัน อุตสาหกรรมปิโตรเคมีและพลาสติกได้ผลักดันการใช้เม็ดพลาสติกรีไซเคิล (PCR) ที่ได้มาตรฐานในผลิตภัณฑ์ เพื่อเข้าสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างแท้จริง และหากทำได้สำเร็จจะเป็น New S-Curve ของอุตสาหกรรมไทยในอนาคต
ภาครัฐควรสนับสนุนทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค เพื่อจูงใจให้ใช้พลาสติกรีไซเคิล เนื่องจากต้นทุนยังสูง จึงต้องมีมาตรการด้านการลงทุน เทคโนโลยี และแรงจูงใจควบคู่กัน ขณะที่ภาคเอกชนได้เริ่มพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและทดลองโมเดลการจัดการต่าง ๆ ภายใต้สมาคม PPP Plastics เพื่อขับเคลื่อนระบบนิเวศเศรษฐกิจหมุนเวียน ตามโรดแมปการจัดการขยะพลาสติกของประเทศแล้ว
ความท้าทายจากมาตรการด้านสิ่งเเวดล้อมเเละการเเข่งขันระหว่างประเทศ
หลักการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต
ทั่วโลกมีการนำนโยบาย EPR มาใช้จัดการขยะบรรจุภัณฑ์ใน 65 ประเทศ โดย 45 แห่ง เป็น EPR ภาคบังคับที่มีการเก็บ EPR fee มาใช้ดำเนินการ
EPR โดยเฉพาะในสหภาพยุโรปที่กำหนดชัดเจนสำหรับบรรจุภัณฑ์และอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงอินเดียที่บังคับใช้กับบรรจุภัณฑ์พลาสติกตั้งแต่ปี 2016 ผลที่ตามมาคือ ผู้ผลิตต้องแบกรับต้นทุนจัดการของเสียและออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ให้สอดรับกับการรีไซเคิล สำหรับผู้ผลิตไทย
มาตรการ CBAM
ปี 2023-2025 ระยะเปลี่ยนผ่านของ CBAM ครอบคลุมธุรกิจ เหล็กเเละเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย ไฟฟ้า รวมถึงไฮโดรเจน
ปี 2026 บังคับใช้ CBAM ระยะถาวร กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่อาจรวมอยู่ในระยะนี้ ได้แก่ สารเคมีอินทรีย์ พลาสติก และแอมโมเนีย คาดการณ์ผลกระทบต่อธุรกิจไทย ประมาณ 6,890 ล้านบาท
ข้อมูลจาก Krungsri Research ระบุว่า มูลค่าการส่งออกไทยไปสหภาพยุโรปที่อยู่ในข่ายสินค้าภายใต้ CBAM มีสัดส่วนราว 5% ของการส่งออกทั้งหมดไปยังตลาดนี้ แม้จะเป็นตัวเลขไม่สูง แต่สะท้อนความท้าทายใหม่ต่อผู้ประกอบการไทยในกลุ่มเหล็ก อะลูมิเนียม และเคมีภัณฑ์ ที่จะต้องแสดงรายงานปริมาณคาร์บอนอย่างเป็นระบบตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา รวมถึงกฎเกณฑ์ของหลายประเทศทั่วโลกที่กำลังทยอยบังคับใช้ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นโอกาสที่เปิดกว้างให้กับธุรกิจรีไซเคิลในไทย
ร่างกฎหมาย Clean Competition Act ในสหรัฐ
ประกอบด้วยมาตรการกำหนดกลไกราคาคาร์บอน สำหรับสินค้าที่ผลิตในประเทศ เริ่มใช้ปี 2024 เเละมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน Carbon Border Adjustment Mechanism : US-CBAM สำหรับสินค้านำเข้า เริ่มใช้ปี 2026 โดยมีกล่มสินค้าคล้ายกับ EU-CBAM
ความท้าทายที่เกิดจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและพลาสติกต่างมีมุมมองไปในทิศทางเดียวกันว่า ผู้ประกอบการไทยกำลังเผชิญความเสียเปรียบด้านราคาและมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียส่วนแบ่งตลาด จึงจำเป็นต้องเร่งปรับกลยุทธ์อย่างจริงจัง ตั้งแต่การยกระดับประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุน ไปจนถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีเอกลักษณ์ชัดเจน (Product Differentiation) โดยเน้นคุณภาพและการบริการที่เหนือกว่า
อีกทั้งยังต้องต่อยอดนวัตกรรมด้านความยั่งยืน เพื่อสร้างภาพลักษณ์ (Brand Image) ที่แข็งแกร่งในตลาดโลก พร้อมทั้งมองหาโอกาสร่วมมือทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมทุนหรือการจับมือด้านเทคโนโลยี
ในเวลาเดียวกัน ทั้งสองกลุ่มอุตสาหกรรมยังได้ยื่นข้อเสนอเชิงนโยบายต่อภาครัฐ เพื่อให้เกิดการสนับสนุนที่เป็นรูปธรรม ครอบคลุม 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่
อย่างไรก็ตาม แม้จะต้องเผชิญกับแรงกดดันจากภาษีสหรัฐฯ และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น แต่ไทยยังคงเป็นฐานการผลิตปิโตรเคมีที่สำคัญของภูมิภาค ด้วยความพร้อมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระบบโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยง ต้นทุนการผลิตที่เหมาะสม และคุณภาพสินค้าที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ปัจจัยเหล่านี้ยังคงเป็นข้อได้เปรียบที่ช่วยให้ไทยรักษาศักยภาพการแข่งขัน และคงความเชื่อมั่นในตลาดโลกได้อย่างต่อเนื่อง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง