ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ธุรกิจเอทานอลเชื้อเพลิงไทยปี 2568 รายได้มีแนวโน้มลดลงแรง จากราคาเอทานอลที่คาดว่าจะหดตัวกว่า 30% ตามทิศทางราคากากน้ำตาลและมันสำปะหลัง แม้อุปสงค์การใช้แก๊สโซฮอล์จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่เพียงพอชดเชยรายได้ที่หายไป ขณะที่ปี 2569 คาดว่ารายได้จะฟื้นตัวจากฐานต่ำ ตามราคาเอทานอลที่มีทิศทางขยับขึ้นราว 2.6%
ธุรกิจเอทานอลยังถูกขับเคลื่อนด้วยนโยบายรัฐที่ส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอล์ โดยเฉพาะ E20 ซึ่งได้รับการสนับสนุนผ่านการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำกว่า E10 กว่า 37% แต่ความนิยมของผู้บริโภคยังอยู่ที่ E10 เป็นหลัก แม้รถยนต์ที่รองรับ E20 จะมีจำนวนมากกว่า ทว่าปัญหาปั๊มน้ำมันที่กระจายไม่ทั่วถึง และความกังวลเรื่องเครื่องยนต์ที่อาจไม่รองรับ รวมถึงประสิทธิภาพการวิ่งที่สั้นกว่า ทำให้การใช้ E20 ลดลงต่อเนื่อง ส่วน E85 ยังคงทรงตัวอยู่เพียง 0.2% หลังภาครัฐยกเลิกเงินชดเชยตั้งแต่ปี 2565 ส่งผลให้ยอดใช้ลดลงกว่า 80% และล่าสุดอยู่ที่ราว 60,000 ลิตรต่อวัน
นอกจากอุปสงค์ที่อ่อนแรง อุตสาหกรรมยังเผชิญปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินราว 40% ตลาดในประเทศไม่สามารถดูดซับได้เต็มที่ ขณะที่การส่งออกยังติดข้อจำกัด ต้องขออนุญาตเป็นรายกรณี และการนำกำลังการผลิตส่วนเกินไปผลิตเอทานอลเกรดอาหารหรือเวชภัณฑ์ก็ทำได้จำกัด เพราะใบอนุญาตกำหนดให้ผลิตเฉพาะเกรดเชื้อเพลิงเท่านั้น
ด้านนโยบาย ภาครัฐอยู่ระหว่างการพิจารณาใน (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2567–2580 ว่าจะกำหนด E10 หรือ E20 เป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ชนิดฐาน หากเลือก E10 ปริมาณการใช้อีทานอลในปี 2580 จะอยู่เพียง 1.55 ล้านลิตรต่อวัน แต่หากเลือก E20 จะเพิ่มขึ้นเป็น 3.25 ล้านลิตรต่อวัน ซึ่งสะท้อนทิศทางอุปสงค์ที่จะเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ
อีกแรงกดดันที่ไม่อาจมองข้าม คือการขยายตัวของรถยนต์ไฟฟ้า (xEV) ที่เริ่มแย่งส่วนแบ่งตลาดเชื้อเพลิง โดยรถไฮบริดช่วยลดการใช้น้ำมัน 10–50% ขึ้นอยู่กับลักษณะการขับขี่ ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV) ใช้ไฟฟ้าเป็นพลังงานทั้งหมด ส่งผลให้แนวโน้มการใช้แก๊สโซฮอล์มีทิศทางชะลอตัวในอนาคต ทั้งนี้ ปี 2568 คาดว่ายอดขายรถ xEV ใหม่จะมีสัดส่วนกว่า 47% ของยอดขายรถยนต์ใหม่ทั้งหมด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง