net-zero

“บ้านปู” ลุยธุรกิจกักเก็บคาร์บอนในสหรัฐ เล็งเป้า 16 ล้านตันปี 73

"บ้านปู" ลุยขยายธุรกิจกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ในสหรัฐฯต่อเนื่อง ตั้งเป้าปริมาณกักเก็บปี 2573 ที่ 16 ล้านตันต่อปี ล่าสุดตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายโครงการ East Texas กักเก็บคาร์บอน 7 หมื่นตันต่อปี นับเป็นโครงการที่ 4 ที่ดำเนินงาน

บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลายในระดับนานาชาติ ดำเนิน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน และกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานในประเทศไทย อินโดนีเซีย จีน ออสเตรเลีย ลาว มองโกเลีย ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม โดยมีเป้าหมายที่จะบรรลุลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่น้อยกว่า 20% ภายในปี 2573 และสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593

ภายใต้การขับเคลื่อนผ่านกลยุทธ์ “Energy Symphonics” ที่มุ่งบริหารพอร์ตโฟลิโออย่างมีประสิทธิภาพหมุนเวียนเงินทุนเข้าสู่สินทรัพย์ศักยภาพสูง ควบคู่กับการปรับโครงสร้างการดำเนินงาน และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI ลดต้นทุนในธุรกิจเหมือง รวมถึงการบริหารโครงสร้างเงินทุน ให้สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาว

“บ้านปู” ลุยธุรกิจกักเก็บคาร์บอนในสหรัฐ เล็งเป้า 16 ล้านตันปี 73

นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติและเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture, Utilization, and Storage: CCUS) ในสหรัฐอเมริกา ถือเป็นกลไกสำคัญในการสร้างการเปลี่ยนผ่านที่ยั่งยืน ช่วยผลักดันให้บริษัทบรรลุเป้าหมาย Net Zero และยังสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัท ส่งผลให้บ้านปูยังคงแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจ CCUS อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์จากธุรกิจต้นนํ้าให้ได้รวม 15-16 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ภายในปี 2573

ล่าสุดบริษัทได้เดินหน้าขยายพอร์ตการลงทุนธุรกิจ CCUS ในสหรัฐอเมริกา เพิ่มอีก 1 โครงการ โดยได้ตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายในโครงการ East Texas ที่เป็นโครงการพัฒนาและติดตั้งระบบดักจับและกักเก็บคาร์บอนที่โรงงานแปรรูปก๊าซธรรมชาติในรัฐเท็กซัสตะวันออก ซึ่งโครงการนี้จะสามารถกักเก็บคาร์บอนได้ประมาณ 70,000 ตันต่อปี คาดว่าจะสามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงต้นปี 2570

โครงการดังกล่าว ถือเป็นโครงการที่ 4 ที่บ้านปูได้ดำเนินธุรกิจ CCUS ในสหรัฐอเมริกา หลังจากที่ประสบความสำเร็จในโครงการ Barnett Zero ที่เป็นต้นแบบเริ่มดำเนินการแล้วตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 2566 มีเป้าหมายในการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2e) ปริมาณ 183,000 ตันต่อปี ซึ่งโครงการนี้มีเงินลงทุนประมาณ 20-22 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา สามารถอัดเก็บคาร์บอนอยู่ที่ 30,433 ตัน

ขณะที่โครงการ Cotton Cove ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง Banpu Power US Corporation และ BKV dCarbon Ventures มีเงินลงทุนประมาณ 14-24 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คาดว่าจะสามารถกักเก็บคาร์บอนได้ 32,000 ตันต่อปี จะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2569

ส่วนโครงการ Eagle Ford เป็นการขยายธุรกิจเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าภายนอก คาดว่าจะสามารถกักเก็บคาร์บอนได้ 90,000 ตัน ต่อปี และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2026

นายสินนท์ กล่าวอีกว่า เพื่อเป็นการตอกยํ้าการขับเคลื่อนธุรกิจ CCUS ให้สหรัฐอเริกามากขึ้น บริษัท BKV Corporation (BKV) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบ้านปู ยังได้จัดตั้งบริษัท ร่วมทุน (JV) ระหว่าง BKV dCarbon Ventures, LLC (dCarbon Ventures) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ BKV ถือหุ้น 100% ร่วมกับกองทุน CIP Energy Transition Fund ซึ่งบริหารโดย Copenhagen Infrastructure Partners P/S (CIP) ประเทศเดนมาร์กเพื่อร่วมกันขยายการลงทุนในธุรกิจดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ในสหรัฐอเมริก

ภายใต้ความร่วมมือนี้ กองทุน CIP Energy Transition Fund จะเข้าถือหุ้นในบริษัทร่วมทุน (JV) ในสัดส่วน 49 % และ BKV ถือหุ้นในสัดส่วน 51% โดยมีภาระผูกพันการลงทุนเริ่มต้นจํานวน 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในอนาคตสามารถเพิ่มมูลค่าการลงทุนได้สูงสุดถึง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเงินทุนดังกล่าวจะนําไปใช้เพื่อการออกแบบก่อสร้าง และดําเนินงานโครงการ CCUS ในสหรัฐอเมริกา โดย BKV โอนกรรมสิทธิ์ โครงการ CCUS หลักที่มีอยู่ในปัจจุบัน ได้แก่ โครงการ Barnett Zero และ โครงการ Eagle Ford ในรัฐเท็กซัส ให้แก่ JV

นอกจากนี้ BKV จะโอนกรรมสิทธิในโครงการ CCUS บางส่วนที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง และ/หรือ เงินสดเพิ่มเติม ให้แก่ JV เป็นลําดับถัดไป โครงสร้าง JV ดังกล่าวจะผสานความเชี่ยวชาญของ BKV ในฐานะผู้บุกเบิกด้านการพัฒนาโครงการ CCUS โดยจะทําหน้าที่เป็นผู้ดําเนินงานหลักในทุกโครงการ CCUS ภายใต้JV ดังกล่าว ควบคู่ไปกับประสบการณ์ของ CIP ในด้านการลงทุนและ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานคาร์บอนตํ่า

ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์นี้จึงนับเป็นอีกก้าวสําคัญในการเสริมสร้างศักยภาพการ เติบโตของธุรกิจ CCUS ในสหรัฐอเมริกาและสนับสนุนเป้าหมายระยะยาวของบ้านปูในการเป็นผู้นําด้านพลังงานที่มุ่งสู่อนาคต สังคมคาร์บอนตํ่าอย่างยั่งยืน