net-zero

เปิดตัวเลขเงินที่ไทยยังขาด สู้โลกร้อน-ลดคาร์บอน เสี่ยงพลาด Net Zero

การเดินหน้าสู่เป้า Net Zero ต้องใช้เม็ดเงินมหาศาลในการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ลดการปล่อยคาร์บอน และยกระดับเทคโนโลยีสะอาด แต่ไทยยังมีช่องว่างการลงทุนขนาดใหญ่

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็นความเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่คุกคามเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคมไทย แม้รัฐบาลจะแสดงความมุ่งมั่นบนเวทีโลกด้วยการประกาศเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) ภายในปี 2065

แต่การวิเคราะห์เชิงลึกกลับเผยให้เห็นถึง "ช่องว่างทางการเงิน" (Funding Gap) ที่มีขนาดใหญ่และน่ากังวล ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางไม่ให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายได้

ช่องว่างด้านการลดก๊าซเรือนกระจก (Mitigation Gap)

ประเทศไทยจำเป็นต้องใช้เงินทุนระหว่าง 5-7 ล้านล้านบาท เพื่อบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามที่กำหนดไว้ใน NDC  แต่ข้อมูลล่าสุดจาก Thailand Climate Finance Tracker ชี้ว่าในช่วงปี 2018-2025 มีการลงทุนในด้านนี้เพียง 1.7 ล้านล้านบาท

ช่องว่างด้านการปรับตัว (Adaptation Gap)

นี่คือช่องว่างที่น่ากังวลที่สุด เนื่องจากข้อมูลระบุว่า เงินทุนที่ถูกจัดสรรเพื่อการปรับตัวต่อผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ (เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง) มีเพียง 1.48 แสนล้านบาท ในช่วงปี 2020-2024  ตัวเลขนี้ต่ำกว่าเงินทุนด้าน Mitigation ถึง 10 เท่า ทั้งที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เปราะบางที่สุดในโลกต่อผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ  และมีมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจที่อาจสูงถึง 1 ล้านล้านบาทต่อปี  ความไม่สมดุลนี้สะท้อนว่า เงินทุนยังไม่สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่แท้จริงของประเทศ

การวิเคราะห์ยังชี้ให้เห็นว่า การลงทุนส่วนใหญ่ในด้าน Mitigation มาจากภาคเอกชน โดยเฉพาะในภาคพลังงานและคมนาคม ขณะที่ภาครัฐยังคงเป็นผู้เล่นหลักในด้าน Adaptation ที่มีเงินทุนจำกัด

ช่องว่างทางการเงินระดับโลกและอาเซียน ที่ขาดความสมดุล

การระดมทุนเพื่อสภาพภูมิอากาศยังคงเผชิญกับช่องว่างขนาดใหญ่ในระดับโลก แม้ว่ากระแสเงินทุนจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลของ Climate Policy Initiative (CPI) ระบุว่าการลงทุนทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 1.46 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2022  

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้ยังคงห่างไกลจากความจำเป็นที่ต้องใช้เงินทุนถึง 7.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปีภายในปี 2030 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียส  ซึ่งหมายความว่าต้องเพิ่มการลงทุนขึ้นอีกถึง 5 เท่า

การจัดสรรเงินทุนยังขาดความสมดุล โดยเงินทุนเพื่อการปรับตัว (Adaptation) มีสัดส่วนน้อยกว่าเงินทุนเพื่อการลดก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) อย่างมาก แม้ว่าเงินทุนด้าน Adaptation จะเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในช่วงปี 2018-2022 จนถึง 7.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ  

แต่ก็ยังเป็นเพียงหนึ่งในสามของความต้องการที่ประเมินไว้สำหรับประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งอยู่ที่ 1.87-3.59 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี

ความไม่สมดุลนี้ยิ่งเด่นชัดขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่เปราะบางที่สุดในโลกต่อผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ แต่กลับได้รับเงินทุนด้าน Adaptation ในช่วงปี 2018-2019 เพียง 12% ของเงินทุนเพื่อสภาพภูมิอากาศทั้งหมดที่ได้รับ

ในระดับประเทศเพื่อนบ้าน แนวทางที่หลากหลายในการรับมือกับความท้าทายนี้

เวียดนาม

เวียดนามเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความต้องการเงินทุนที่สูงมาก โดยรายงานของธนาคารโลกประเมินว่าประเทศต้องการเงินทุนสะสมถึง 368 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2040 เพื่อการปรับตัวและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แม้จะมีเป้าหมายที่ทะเยอทะยานและมีกรอบนโยบายที่สนับสนุนการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน  

แต่โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่ยังด้อยพัฒนากลับกลายเป็นโอกาสสำคัญให้ภาคเอกชนเข้าลงทุนได้ง่ายกว่า

อินโดนีเซีย

มีการประเมินว่าอินโดนีเซียต้องการเงินทุนถึง 2.85 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2030 เพื่อบรรลุเป้าหมาย NDC  แต่ในช่วงปี 2015-2021 มีการลงทุนเพียง 4.17 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้มีช่องว่างการลงทุนที่สำคัญถึง 51%

รัฐบาลอินโดนีเซีย ได้ผลักดันนโยบายเชิงรุก เช่น การออก Indonesia Green Taxonomy เพื่อเป็นสัญญาณที่ชัดเจนในการดึงดูดการลงทุนจากสถาบันการเงินภาคเอกชน

มาเลเซียและสิงคโปร์

ประเทศเหล่านี้มีแนวทางที่แตกต่างออกไป โดยเน้นการพัฒนาตัวเองให้เป็น ศูนย์กลางทางการเงินที่ยั่งยืน (Sustainable Finance Hubs) มาเลเซียได้จัดตั้ง Climate Finance Innovation Lab (CFIL) เพื่อส่งเสริมการลงทุนในโครงการเปลี่ยนผ่านพลังงานและเกษตรกรรมยั่งยืน

ขณะที่ สิงคโปร์ได้เปิดตัวแผนงาน Finance for Net Zero (FiNZ) เพื่อสนับสนุนนวัตกรรมการเงินและสร้างกรอบการกำกับดูแลที่เข้มแข็ง 25 ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าประเทศเหล่านี้มอง Climate Finance เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต

การวิเคราะห์บริบทโลกและภูมิภาคแสดงให้เห็นว่า แนวคิดของ Climate Finance ได้เปลี่ยนผ่านจากการเป็น "ความช่วยเหลือ" ไปสู่ "การลงทุน" อย่างชัดเจน ในอดีต แนวคิดนี้เริ่มต้นจากหลักการที่ว่าประเทศพัฒนาแล้วควรจัดหา "เงินทุนใหม่และเพิ่มเติม" ให้แก่ประเทศกำลังพัฒนา  ซึ่งสอดคล้องกับหลักการ "ความรับผิดชอบร่วมกันแต่แตกต่างกัน"

ช่องว่างทางการเงินเพื่อสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย

ประเทศไทยได้ประกาศพันธกรณีที่สำคัญบนเวทีโลก สะท้อนถึงความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความเร่งด่วนของปัญหา อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงความเสี่ยง ประเด็นที่สำคัญอาจไม่ได้มาจากต้นทุนในการดำเนินการตามเป้าหมายเท่านั้น แต่ยังมาจาก "ต้นทุนของการไม่ดำเนินการ" (Cost of Inaction) อีกด้วย

รายงานของ Swiss Re ประเมินว่า หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นระหว่าง 2-2.6 องศาเซลเซียสภายในปี 2048 ประเทศไทยอาจสูญเสียผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไปถึง 33.2% และในกรณีที่เลวร้ายที่สุดที่อุณหภูมิเพิ่มขึ้น 3.2 องศาเซลเซียส การสูญเสียอาจสูงถึง 43.6% 4

นอกจากนี้ องค์การเศรษฐกิจและสังคมสำหรับเอเชียและแปซิฟิกแห่งสหประชาชาติ (UNESCAP) ยังประเมินความเสียหายเฉลี่ยต่อปีจากผลกระทบสภาพภูมิอากาศของไทยไว้ที่เกือบ 1 ล้านล้านบาท 2 และความเสียหายสะสมในภาคเกษตรกรรมเพียงอย่างเดียวอาจสูงถึง 1.75-8.38 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2021-2045  

ตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า การละเลยการลงทุนเพื่อสภาพภูมิอากาศจะนำมาซึ่งความเสียหายทางเศรษฐกิจในระยะยาวที่ร้ายแรงยิ่งกว่าต้นทุนการปรับตัวในปัจจุบันอย่างมาก

ความต้องการเงินทุนของไทยเทียบกับสถานะปัจจุบัน

เพื่อบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ยกระดับขึ้น กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้ประเมินว่าหากต้องการลดการปล่อยก๊าซฯ ลง 30% ภายในปี 2030 ประเทศไทยจะต้องใช้เงินลงทุนถึง 5 ล้านล้านบาท และหากต้องการลดลง 40% จะต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มเป็น 7 ล้านล้านบาท

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากข้อมูลการใช้จ่ายจริงที่รวบรวมโดย Climate Finance Network Thailand (CFNT) พบว่าในช่วงปี 2018-2025 มีการลงทุนในด้าน Mitigation เพียง 1.7 ล้านล้านบาท เมื่อนำตัวเลขความต้องการ (5-7 ล้านล้านบาท) มาหักลบกับการใช้จ่ายจริงในปัจจุบัน (1.7 ล้านล้านบาท) ช่องว่างทางการเงิน (Funding Gap) ขนาด 3.3-5.3 ล้านล้านบาท

ด้านการปรับตัว (Adaptation) ที่มีมูลค่าการลงทุนเพียง 1.48 แสนล้านบาท  ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ต่ำกว่าการลงทุนด้าน Mitigation ถึง 10 เท่า การจัดสรรเงินทุนที่ไม่สมดุลนี้เป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง เนื่องจากประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเสี่ยงสูงจากผลกระทบทางกายภาพของสภาพภูมิอากาศ (ติดอันดับที่ 30 ของโลกในรายงาน Germanwatch)

ความไม่สมดุลนี้ชี้ให้เห็นว่ามีการขาดการประเมินต้นทุนที่ชัดเจนในระดับนโยบายของประเทศ ซึ่งทำให้การจัดสรรงบประมาณและการดึงดูดเงินลงทุนในภาคส่วนนี้เป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ การวิเคราะห์แหล่งที่มาของเงินทุนยังเผยให้เห็นถึงลักษณะที่น่าสนใจ โดยการลงทุนในด้าน Mitigation ส่วนใหญ่กว่าสองในสามมาจากภาคเอกชน ซึ่งสะท้อนถึงความพร้อมของภาคเอกชนในการลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียวที่มีผลตอบแทนชัดเจน เช่น โครงการพลังงานแสงอาทิตย์

ในทางตรงกันข้าม การลงทุนในด้าน Adaptation กลับพึ่งพิงงบประมาณจากภาครัฐเป็นหลัก โดยมีสัดส่วนสูงถึง 97% ของเงินทุนทั้งหมด  แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้างกลไกที่จูงใจให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทในด้านการปรับตัว ซึ่งเป็นภาคส่วนที่ยังขาดเงินทุนอยู่มาก

โจทย์ใหญ่ด้านการเงินและการเข้าถึงทุนของไทย

เมื่อเร็วๆนี้ ในงานประชุมเผยแพร่และรับฟังความคิดเห็น “แนวทางการขอรับการสนับสนุนทางการเงินด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” (Climate Finance Adaptation) โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ข้อมูลเชิงนโยบายและคู่มือการเข้าถึงแหล่งงบประมาณ ทั้งในและต่างประเทศ สำหรับหน่วยงานที่ดำเนินกิจกรรมด้านการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย

ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ในฐานะประธานการประชุม ย้ำถึงเป้าหมายให้ประเทศสามารถรับมือผลกระทบจากโลกร้อนโดยลดการพึ่งพางบประมาณรัฐ พร้อมชี้ว่า ภัยธรรมชาติในปัจจุบันมีความรุนแรงและถี่ขึ้นอย่างชัดเจน

ตัวอย่างเช่น สหรัฐฯ ความถี่ภัยพิบัติจากเฉลี่ย 9 ครั้งต่อปี เพิ่มเป็น 23–29 ครั้งต่อปีในช่วง 4–5 ปีที่ผ่านมา สูญเสียแล้วกว่า 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์

ไทย ภาคเหนือเผชิญน้ำท่วมซ้ำซากในปีนี้ ภาคท่องเที่ยวสูญรายได้เบื้องต้นกว่า 5 พันล้านบาท และชุมชนหลายแห่งเสียหายหนัก เช่น คาเฟ่ใน จ.น่าน ถูกน้ำท่วมมิดหลังคาถึงสองครั้งในรอบไม่ถึงปี

เเละได้ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบัน ไทยใช้เงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกว่า 1.5 เเสนล้านบาท โดยกระจุกตัวที่ภาคเกษตรและบริหารจัดการน้ำ แม้ “แผนการปรับตัวแห่งชาติ” (NAP) จะครอบคลุม 6 สาขาเสี่ยงสูง ได้แก่ เกษตร การบริหารจัดการน้ำ การท่องเที่ยว สาธารณสุข การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และการตั้งถิ่นฐานและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งยังต้องการงบประมาณเพิ่มเติมอีกมาก

นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นถึงภาพรวมอาเซียน ว่า หากต้องการบรรลุเป้าหมายปี 2030–2073 ทั้งด้านการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัว ต้องใช้เงินราว 422 ล้านดอลลาร์ แบ่งเป็น 290 ล้านดอลลาร์เพื่อการลดก๊าซ และกว่า 100 ล้านดอลลาร์เพื่อการปรับตัว โดย ดร.พิรุณ ระบุว่า การเงินด้านการปรับตัวควรมีสัดส่วนใกล้เคียงกับการลดก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น

กลไกเงินทุนระหว่างประเทศ

สำหรับ แหล่งทุนสำคัญที่ไทยสามารถเข้าถึง ได้แก่ กองทุนการปรับตัว (Adaptation Fund) ราว 700 กว่าล้านดอลลาร์ กองทุนภูมิอากาศสีเขียว (Green Climate Fund: GCF) มูลค่าหมื่นล้านดอลลาร์ บริหารเงิน 50/50 ระหว่างลดก๊าซกับปรับตัว กองทุนความร่วมมือทวิภาคี เช่น International Climate Initiative (เยอรมนี) และ International Climate Fund (สหราชอาณาจักร) เเละธนาคารพัฒนาพหุภาคี เช่น ADB และ World Bank

เสริมศักยภาพข้อเสนอโครงการ

การแข่งขันขอทุนเข้มข้น เนื่องจากมีประเทศกำลังพัฒนากว่า 130 ประเทศมุ่งขอจากแหล่งเดียวกัน เกณฑ์สำคัญประกอบด้วย หลักฐานวิทยาศาสตร์ชัดเจน ตัวชี้วัดติดตามประเมินผลได้ ความยั่งยืนหลังโครงการเสร็จ และการมีส่วนร่วมของประชาชน

ทั้งนี้ ประเทศไทยเคยได้รับทุนให้เปล่าจาก UNDP 15–16 ล้านดอลลาร์เพื่อจัดการน้ำภาคเหนือ และจาก GIZ 43 ล้านดอลลาร์เพื่อโครงการเกษตร รวมกว่า 60 ล้านดอลลาร์ แต่ยังไม่เพียงพอต่อการปรับตัวครบทั้ง 6 สาขา

สร้างระบบนิเวศการเงินในประเทศ

ดร.พิรุณ ชี้ว่า ไทยต้องสร้างระบบนิเวศทางการเงินภายในประเทศ ที่ขับเคลื่อนการปรับตัวได้ เช่น เงินทุนจากสถาบันการเงินภายในประเทศ ในอนาคตประเทศไทยเตรียมตั้ง “กองทุนภูมิอากาศ” ภายใต้ร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อสนับสนุนงานด้านการปรับตัวในทุกมิติ ควบคู่กับการระดมทุนจากสถาบันการเงินภายใน