ในช่วงเวลาที่โลกเผชิญวิกฤตสภาพภูมิอากาศจนกลายเป็นประเด็นเร่งด่วนระดับโลก ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อผลักดันให้มีการลดการปล่อยคาร์บอน หวังยับยั้งผลกระทบร้ายแรงที่กำลังคืบคลานเข้ามา แต่ท่ามกลางกระแสนั้น กลับมีเสียงเตือนอีกเสียงหนึ่งที่ชี้ว่า ยังมีภัยจากมนุษย์อีกรูปแบบหนึ่งซึ่งรุนแรงยิ่งกว่า รวดเร็วกว่า และไม่เปิดโอกาสให้มนุษย์ตั้งหลักรับมือได้เลย
มาร์ก ไลนาส (Mark Lynas) นักเขียนและนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมชาวอังกฤษ ผู้ที่ใช้เวลากว่า 20 ปีในการสื่อสารเรื่องภาวะโลกร้อนและผลักดันการลดคาร์บอน เขาระบุว่า “สงครามนิวเคลียร์” คือภัยคุกคามที่ใหญ่ยิ่งกว่า และอาจล้างมนุษยชาติไปพร้อมกับระบบนิเวศทั้งหมดภายในพริบตา
สงครามนิวเคลียร์ไม่มีทางเลือกในการปรับตัว ฤดูหนาวนิวเคลียร์จะฆ่าล้างมนุษยชาติแทบทั้งหมด และคุณไม่สามารถเตรียมตัวได้ ไม่สามารถปรับตัวได้เมื่อมันเกิดขึ้น เพราะมันเกิดขึ้นในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง
ในหนังสือเล่มล่าสุดที่ออกเมื่อเดือนก่อน ไลนาสระบุว่าโลกกำลังเผชิญความเสี่ยงจากอาวุธนิวเคลียร์มากกว่าที่สาธารณชนตระหนัก โดยเฉพาะหลังปี 2022 ซึ่งรัสเซียเริ่มรุกรานยูเครนอย่างเต็มรูปแบบ เขาเริ่มศึกษาผลกระทบจาก “ฤดูหนาวนิวเคลียร์” แนวคิดที่เขาเคยรู้จักตั้งแต่ยุคสงครามเย็น แต่เมื่อศึกษาด้วยเครื่องมือทางภูมิอากาศสมัยใหม่ เขากลับพบผลลัพธ์ที่น่าหวาดหวั่นกว่าที่เคยจินตนาการไว้
ปัจจุบัน มีอาวุธนิวเคลียร์ประมาณ 4,000 ลูก ที่พร้อมยิงโจมตีเป็นระลอกแรกในซีกโลกเหนือ ซึ่งเพียงพอจะคร่าชีวิตมนุษย์ได้ถึง 700 ล้านคน จากแรงระเบิดและไฟไหม้เพียงอย่างเดียว และนั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น
หายนะที่ใหญ่กว่า คือผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากเพลิงไหม้ขนาดมหึมาในเมืองต่าง ๆ ที่จะพ่นเขม่าควันขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศชั้นบน ผ่านเมฆไฟ (pyrocumulonimbus) เขม่าควันเหล่านี้จะลอยสูงทะลุชั้นโทรโพพอสและเข้าไปสะสมในสตราโตสเฟียร์โดยไม่สามารถถูกชะล้างลงมาได้อีก
เนื่องจากเขม่าควันมีสีเข้ม จึงดูดซับแสงอาทิตย์ได้มาก อุ่นขึ้น และลอยสูงขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ไม่สามารถส่องถึงพื้นโลกได้เป็นเวลาหลายสัปดาห์หรืออาจนานเป็นเดือน
ผลลัพธ์คือ โลกเข้าสู่ “ฤดูหนาวนิวเคลียร์” ที่ยาวนานหลายปี อุณหภูมิจะลดลงต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง ไม่มีการสังเคราะห์แสง ไม่มีการเติบโตของพืชผลอีกต่อไป และห่วงโซ่อาหารจะล่มสลาย
จะไม่มีการเก็บเกี่ยวพืชผลใด ๆ อีกเลยสำหรับมนุษยชาติ เพราะเมื่อแสงอาทิตย์กลับมา และอุณหภูมิเพิ่มขึ้นอีกครั้งในอีกสิบปีข้างหน้า ทุกคนก็ตายหมดแล้ว
แม้จะฟังดูสุดโต่ง แต่ไลนาสชี้ว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เขาเตือนว่า สหรัฐฯ เคยใช้อาวุธนิวเคลียร์กับพลเรือนญี่ปุ่นในปี 1945 และในหลายครั้งหลังจากนั้น โลกก็เคยเฉียดใกล้สงครามนิวเคลียร์เพียงไม่กี่นาทีจากความผิดพลาดหรือความตึงเครียดทางการเมือง
ทั้งสหรัฐฯ และรัสเซียต่างมีนโยบาย “โจมตีก่อน” (first-strike doctrine) ซึ่งเปิดช่องให้ใช้อาวุธนิวเคลียร์ได้แม้จะถูกโจมตีด้วยอาวุธทั่วไป ตรงข้ามกับจีนนั้นที่ยึดนโยบาย “ไม่โจมตีก่อน”
จำนวนอาวุธนิวเคลียร์ในโลกยังคงน่าวิตก โดย สหรัฐฯ และรัสเซียถือครองรวมกันราว 12,000 ลูก ขณะที่ จีน กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว มีประมาณ 500 ลูกในปี 2024 ส่วนประเทศอื่นที่มีอาวุธนิวเคลียร์ ได้แก่ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส อิสราเอล อินเดีย ปากีสถาน และเกาหลีเหนือ
สำหรับ อิหร่าน ไลนาสมองว่าอาจใกล้เข้าสู่สถานะรัฐนิวเคลียร์ โดยเฉพาะหลังเหตุโจมตีของอิสราเอลเมื่อไม่นานมานี้
ความเสี่ยงยังเพิ่มขึ้นจาก “ความผิดพลาด” ที่เกิดขึ้นได้เสมอ หากระบบเตือนภัยของสหรัฐฯ ทำงานผิดพลาด ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เช่น โดนัลด์ ทรัมป์ อาจมีเวลาเพียง 6 นาทีในการตัดสินใจว่าจะตอบโต้หรือไม่ ส่วนรัสเซียเองมีระบบที่เรียกว่า “dead hand” ซึ่งสามารถยิงขีปนาวุธตอบโต้โดยอัตโนมัติหากโครงสร้างการควบคุมถูกทำลาย
ท่ามกลางภัยที่ร้ายแรงเช่นนี้ ไลนาสเสนอว่า ถึงเวลาแล้วที่โลกจะต้องฟื้นขบวนการต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมาใหม่ พร้อมตั้งคำถามว่า เหตุใดการเคลื่อนไหวนี้จึงเงียบงันเมื่อเทียบกับการต่อสู้เรื่องโลกร้อน
เขายอมรับว่า ขบวนการต่อต้านในอดีตมีพลังและอุทิศตน แต่ขาดความหลากหลายทางการเมือง โดยมักโน้มเอียงไปทางฝ่ายซ้ายหรือสายฮิปปี้ สันติภาพ หรือกิจกรรมเฉพาะกลุ่ม ซึ่งทำให้ผู้มีแนวคิดทางการเมืองสายกลางหรือขวาไม่เข้าร่วม และจำกัดโอกาสของความสำเร็จ
ไลนาสไม่เห็นด้วยกับแนวคิด “ปลดอาวุธนิวเคลียร์ฝ่ายเดียว” ที่มองว่าไร้เดียงสา เขายังมองว่า “พลังงานนิวเคลียร์” ไม่ใช่ภัยคุกคาม หากแต่เป็นโอกาสสำหรับมนุษย์ในการผลิตพลังงานคาร์บอนต่ำ
อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอของเขาก็เข้มข้นและชัดเจน เช่น การเสนอให้มองผู้ที่มีส่วนในโครงสร้างคำสั่งของ 9 ประเทศนิวเคลียร์ว่าเป็น “อาชญากรสงครามที่อาจเกิดขึ้น” และเรียกร้องให้ประเทศที่ไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ใช้มาตรการทางกฎหมายและการคว่ำบาตรต่อบุคคลเหล่านี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง