วันนี้ (18 มิ.ย.) ฐานเศรษฐกิจจัดงาน Road to Net Zero 2025 โดยหนึ่งในหัวข้อสัมมนาคือ “โอกาสทางธุรกิจและปัจจัยสนับสนุนสู่ Net Zero” โดย วิวัฒน์ โฆษิตสกุล กรรมการสมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย (RE100) และที่ปรึกษาด้านคาร์บอนมูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน
นายวิวัฒน์ กล่าวว่า จากนี้ไปเชื่อว่าดีมานด์และราคาของคาร์บอนเครดิต จะขยับตัวสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลเตรียมออก พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (พ.ร.บ.โลกร้อน) ที่จะกำหนดประเภทนิติบุคคลให้ทำรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ซึ่งจะมีรายละเอียดชัดเจนว่า มีสิทธิ์ในการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เท่าไหร่ รวมถึงกำหนดสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในธุรกิจแต่ละประเภท
ขณะเดียวกันยังมีบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ (บมจ.) ที่ประกาศทำ Net Zero ไว้ คงต้องซื้อ คาร์บอนเครดิต เพื่อนำไปชดเชยกับคาร์บอนฟุตพริ้นของตัวเอง ซึ่งหลายบริษัทตั้งเป้าหมายไว้ในปี 2030
“คาร์บอนเครดิตถือเป็นทรัพย์สิน แต่การได้มาต้องมีมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับ ที่ผ่านมาราคาคาร์บอนเครดิต อาจจะมีขึ้น-ลงบ้าง แล้วแต่สถานการณ์ และข้อตกลงในระดับโลก และมาตรฐานกลางตัวใหม่ของสหประชาชาติ(Art 6.4) โดยหลังจากนี้เชื่อว่าความต้องการจะมากขึ้น ส่งผลให้ราคาเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 130 บาทต่อตัน (ราคา T-VER โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย)”
คาร์บอนเครดิตเป็นรางวัลประเภทหนึ่งที่ให้กับคนที่ทำเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ(Climate Change) ลดภาวะโลกร้อน ทว่าในการดำเนินการอาจจะยังมีปัญหาและอุปสรรคอยู่บ้างเช่น ค่าใช้จ่ายในการได้มาของคาร์บอนเครดิตอาจจะสูงและไม่คุ้มค่าสำหรับโครงการขนาดเล็ก
ตลอดจนความชัดเจนเรื่องหลักเกณฑ์การขายเครดิตสำหรับองค์กรที่อยู่ภายใต้ภาคบังคับ และองค์กรที่ตั้งเป้าหมาย Net Zero รวมถึงกติกาสากล-กฎระเบียบของประเทศผู้ซื้อ
ส่วนนโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่ออกจากปฎิณญาปารีส (Paris Agreement) เชื่อว่าไม่ผลกับราคาของคาร์บอนเครดิต เพราะยังมีมาตรการจากฝั่งยุโรป อังกฤษ และญี่ปุ่น เดินหน้าอยู่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง