สร้างความโกลาหลให้กับประชาชนหลายล้านคน และความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาล ส่งผลให้หลายประเทศตระหนักถึงสาเหตุสำคัญของการเกิดไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ จากการพึ่งประเภทเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าอย่างหนึ่งอย่างใดที่มากเกินไป
จากข้อมูลสถิติของ European Network of Transmission System Operators for Electricity (ENTSO-e) ซึ่งเป็นเครือข่ายผู้ควบคุมระบบส่งไฟฟ้าแห่งยุโรป ชี้ให้เห็นว่า จากความแปรปรวนของอุณหภูมิทำให้มีการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของสเปน เพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 9,544 เมกะวัตต์ ในวันที่ 17 มีนาคม 2568 เพิ่มเป็น 19,060 เมกะวัตต์
ในวันที่ 28 เมษายน 2568 ที่เป็นวันไฟฟ้าดับ คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 76.5% ของความต้องการใช้ไฟฟ้าที่ 24,884 เมกะวัตต์ ขณะที่โรงไฟฟ้าพลังความร้อนที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเดินเครื่องอยู่เพียง 7.31% หรือราว 2,188 เมกะวัตต์ ของกำลังผลิตติดตั้ง 29,943 เมกะวัตต์
ในช่วงที่เกิดเหตุไฟฟ้าดับในสเปนพบว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทั้งพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม หายไปจากระบบอย่างเฉียบพลัน 14,280 เมกะวัตต์ ภายใน 5 วินาที หรือเทียบเท่า 60% ของความต้องการใช้พลังงานทั้งประเทศ ซึ่งเป็นปริมาณไฟฟ้าที่มากเกินกว่าจะกู้คืนระบบได้ในระยะเวลาที่รวดเร็ว
เมื่อระบบไฟฟ้าในสเปนล้ม จึงลุกลามไปยังโปรตุเกส ที่สเปนส่งไฟฟ้าไปให้ราว 2,119 เมกะวัตต์ และบางส่วนของฝรั่งเศสที่ส่งไฟฟ้าให้ในปริมาณ 761 เมกะวัตต์
ในงานเสวนา “ไฟดับครั้งใหญ่ในยุโรป : บทเรียนจากสเปน-โปรตุเกส 2025 และแนวทางรับมือและออกแบบระบบพลังงานอย่างสมดุล” จัดโดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)
นายสุรชัย ชัยทัศนีย์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า การพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ (Blackout) แต่ประเทศไทยก็ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ที่จะต้องเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ตามเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 หรือตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า(PDP) ที่จะมีสัดส่วนพลังงานสะอาดกว่า 51 % ซึ่งต้องยอมรับว่า การเข้ามาของพลังงานหมุนเวียน ย่อมมีส่งผลกระทบทางเทคนิคต่อระบบไฟฟ้า
ดังนั้น ประเทศไทยจะต้องเตรียมพร้อมแนวทางรองรับการเข้ามาของพลังงานหมุนเวียนในระบบไฟฟ้าที่จะมีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ไมว่าจะเป็นการ Forecasting & System Operation เพื่อพยากรณ์และวางแผนระบบไฟฟ้าล่วงหน้าได้แม่นยำขึ้น การนำเทคโนโลยี Energy Storage เข้ามาใช้เพื่อช่วยกักเก็บพลังงานหมุนเวียน การนำเทคโนโลยี Grid Modernization & Flexibility เข้ามาใช้เพื่อทำให้ระบบสายส่งรับมือกับพลังงานหมุนเวียนที่กระจายตัวและแปรปรวนได้ดีขึ้น
เช่น ควบคุมแบบสองทางและอัตโนมัติ การนำเทคโนโลยี Flexible Generation เข้ามาเสริมประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้าที่สามารถจ่ายไฟฟ้าได้เร็วหรือยืดหยุ่น เพื่อรองรับช่วงที่พลังงานหมุนเวียนไม่เพียงพอ พิจารณาเรื่อง Diverse & Distributed RE เพื่อกระจายแหล่งผลิตพลังงานหมุนเวียน ลดความเสี่ยงและเพิ่มความเสถียรให้กับระบบไฟฟ้า
นำเรื่อง Interconnection & Trading ที่จะเป็นการเชื่อมต่อโครงข่ายและการค้า เพื่อส่งไฟฟ้าระหว่างภูมิภาค เข้าช่วยรับมือกับความผันผวนของพลังงานหมุนเวียน รวมถึงส่งเสริม Regulatory & Market Mechanisms โดยวางกลไกกำกับดูแลที่สร้างแรงจูงใจและตลาดที่รองรับระบบไฟฟ้าที่มีพลังงานหมุนเวียนสูง
น.ส.พิมพ์สุภา เกาะช้าง นักวิจัยชำนาญการ สถาบันวิจัยพลังงาน สะท้อนให้เห็นว่า วิกฤตไฟฟ้าดิบที่เกิดขึ้นในยุโรป ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลมาจากระบบโครงข่ายไฟฟ้าที่ออกแบบรองรับเชื้อเพลิงพลังงานหมุนเวียนที่ยังไม่เพียงพอ ทางสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงมีข้อเสนอแนะแนวทางเสริมความมั่นคงเพื่อการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างยั่งยืน ได้แก่ 1.จัดทำ Energy Resilience Roadmap ควบคู่กับ Roadmap สู่ Net Zero
2.ปรับนโยบายให้มีความยืดหยุ่น ทันต่อเทคโนโลยีและบริบทโลก เพื่อรองรับบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เช่น ภัยภูมิอากาศ หรือ ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ 3.สื่อสารกับสาธารณะอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจว่า พลังงานหมุนเวียนไม่ใช่ต้นเหตุของความเสี่ยง แต่ต้องมีระบบสนับสนุนที่เหมาะสม และ 4.ส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาฐานข้อมูลแบบเปิด (Open Data Infrastructure) เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบาย และเปิดพื้นที่ให้ภาคส่วนต่าง ๆ เข้าถึงข้อมูลและมีส่วนร่วม
นายธวัชชัย สำราญวานิช รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า วิกฤตไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ในสเปนและโปรตุเกส เป็นเวลาประมาณ 19-20 ชั่วโมง ถือเป็นบทเรียนครั้งสำคัญของทุกประเทศทั่วโลกที่กำลังมุ่งหน้าสู่การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น โดยเฉพาะพลังานแสงอาทิตย์และลม ซึ่งจะต้องหาวิธีรับมือกับการผลิตไฟฟ้าที่ไม่เสถียร
ทั้งนี้ จากการหารือของ 3 การไฟฟ้า (กฟผ. , การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ PEA และการไฟฟ้านครหลวง หรือ กฟน.) ในการรับมือ Blackout ไม่ให้เกิดขึ้นกับประเทศไทย จำเป็นต้องวางแผนนำเทคโนโลยีมาใช้รองรับการเข้ามาของพลังงานทดแทน เพื่อให้ระบบไฟฟ้ามีความพร้อม มีความมั่นคง และราคาค่าไฟฟ้าต้องสมเหตุผล เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ไฟฟ้าอย่างเป็นธรรม
รวมถึงการให้ความสำคัญกับโรงไฟฟ้าหลักเพื่อความมั่นคง อาทิ โรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ โรงไฟฟ้าถ่านหิน และโรงไฟฟ้าพลังนํ้า ซึ่งมีความสามารถในการรักษาความถี่ไฟฟ้า (Frequency) ให้อยู่ในเกณฑ์ เมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าหายไปจากระบบ และยังมีความจำเป็นในการรักษาระบบไฟฟ้าให้มีความเสถียรมากขึ้น ที่จะมารองรับพลังงานหมุนเวียน เพราะโรงไฟฟ้าเพื่อความมั่นคง มีกำลังผลิตสำรองพร้อมจ่าย (Spinning Reserve) สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ในเวลารวดเร็ว ช่วยรักษาความถี่ของระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้อยู่ในเกณฑ์
นอกจากนี้ กฟผ. ยังมีการปรับปรุงโรงไฟฟ้าที่มีอยู่เดิมให้มีความยืดหยุ่น (Flexible Power Plant) สามารถเร่งหรือลดการผลิตไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้กำลังผลิตไฟฟ้าเพียงพอตามความต้องการในทุกช่วงเวลา ควบคู่กับการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังนํ้าแบบสูบกลับ ซึ่งเป็นระบบกักเก็บพลังงานขนาดใหญ่ มีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่อหน่วยตํ่า ช่วยลดความผันผวนและรักษาเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า
ดังนั้น เหตุการณ์ไฟฟ้าดับในยุโรปครั้งนี้ ถือเป็นบทเรียนสำหรับหน่วยงานดูแลระบบไฟฟ้าของประเทศ การพิจารณานำโรงไฟฟ้าใด ๆ เข้าระบบต้องตระหนักถึง ความมั่นคงของระบบไฟฟ้า เป็นสำคัญ เพราะเมื่อสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้น หากโรงไฟฟ้าหลักมีความเสถียรไม่เพียงพอรองรับเหตุฉุกเฉินอาจส่งผลให้เกิดความเสียหายที่ไม่อาจประเมินค่าได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง