net-zero

กฟผ.ทุ่ม 4 พันล้าน ผุดโซลาร์ลอยน้ำเขื่อนภูมิพล 158 MW หนุน Net Zero

กฟผ.ลุย Net Zero อัดงบอีก 4 พันล้านบาท เดินหน้าก่อสร้างโซลาร์ลอยน้ำเขื่อนภูมิพล กำลังผลิต 158 เมกะวัตต์ เป็นโครงการที่ 3 พร้อมเดินหน้าชง ครม.ไฟเขียวเพิ่มอีก 2 แห่งเขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อนวชิราลงกรณ์ ชี้สิ้นแผนพีดีพี 2580 มีกำลังผลิตรวม 2,725 เมกะวัตต์

การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กฟผ. ยังคงเดินหน้าพัฒนาองค์การอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความท้าทายด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงาน โดยวางเป้าหมายระยะสั้น-กลาง ระหว่างปี 2568-2570 ในการสร้างนวัตกรรมพลังงานไฟฟ้า เพื่อการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญด้านบริบทพลังงานของประเทศ ตามหลักการความมั่นคงด้านพลังงาน ความเป็นธรรมต่อทุกภาคส่วน และการอนุรักษ์พลังงาน และมีเป้าหมายระยะยาวระหว่างปี 2571-2572 ในการเป็นผู้สร้างนวัตกรรมพลังงานไฟฟ้า เพื่อความมั่นคงและส่งมอบคุณค่าพลังงานสีเขียวที่ยั่งยืนให้กับสังคมไทย

ทั้งนี้ ในปี 2567 กฟผ. ได้จัดทำ EGAT Carbon Neutrality Roadmap โดยมีเป้าหมายระยะสั้นในปี 2573 ลดความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อพลังงานไฟฟ้าสุทธิที่ผลิตได้ลง 30% เมื่อเทียบกับปีฐาน 2564 และเป้าหมายระยะยาวในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2593

การขับเคลื่อนเพื่อไปสู่เป้าหมายดังกล่าว กฟผ.จะผลักดันการลงทุนในการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน สอดรับกับร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยฉบับใหม่ฉบับใหม่ (PDP 2024) ช่วงปี 2567-2580 ที่ได้มีการบรรจุโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยนํ้าร่วมกับโรงไฟฟ้าพลังนํ้า หรือโรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ลอยนํ้าไฮบริด (Hydro-floating Solar Hybrid) ไว้ปริมาณ 2,656 เมกะวัตต์

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด กฟผ. ตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาความมั่นคงทางพลังงาน โดยหาจุดสมดุลระหว่างการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลและพลังงานหมุนเวียนที่เหมาะสมกับประเทศ

กฟผ.ทุ่ม 4 พันล้าน ผุดโซลาร์ลอยน้ำเขื่อนภูมิพล 158 MW หนุน Net Zero

โดยจะเร่งเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าสีเขียวผ่านโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยนํ้าเขื่อนของ กฟผ.ที่มีอยู่ ซึ่งในปี 2567 ที่ผ่านมา ได้ผ่านการเห็นขอบจากคณะกรรมการ กฟผ. (คก.กฟผ.) แล้วจำนวน 15 โครงการ รวมกำลังผลิตตามสัญญา 2,656 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทยอยนำเสนอเพื่อขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีในการดำเนินงานต่อไป

ขณะที่ล่าสุด กฟผ.ได้เปิดขายซองประกวดราคาก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยนํ้าร่วมกับโรงไฟฟ้าพลังนํ้าเขื่อนภูมิพล ชุดที่ 1 จ.ตาก ขนาดกำลังผลิต 158 เมกะวัตต์ ไปแล้ว ด้วยราคากลางที่ 4,009 ล้านบาท ซึ่งเปิดซองประกวดราคาในวันที่ 14 กรกฎาคม 2568 นี้ ก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบต่อไป

โครงการดังกล่าว ถือเป็นโครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ลอยนํ้าไฮบริดแห่งที่ 3 หลังจากได้ดำเนินการไปแล้ว 2 โครงการ ได้แก่ โครงการที่เขื่อนสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี กำลังผลิตตามสัญญา 45 เมกะวัตต์ มีการจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ไปแล้ว เมื่อเดือนตุลาคม 2564 วงเงินลงทุนรวม 2,265.99 ล้านบาท และที่เขื่อนอุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น มีกำลังผลิตตามสัญญา 24 เมกะวัตต์ และมีระบบกักเก็บพลังงาน(BESS) ขนาดกำลังจ่ายไฟฟ้าประมาณ 6 เมกะวัตต์ วงเงินลงทุน 863 ล้านบาท​ ซึ่งจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ไปแล้วเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566

ส่วนโครงการที่ 4 และที่ 5 ที่อยู่ระหว่างเสนอขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณ่ให้ความเห็นชอบอีก ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยนํ้าเขื่อนศรีนครินทร์ 1 กำลังผลิตตามสัญญา 140 เมกะวัตต์ จ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ปี 2569 และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยนํ้าเขื่อนวชิราลงกรณ์ 1 กำลังผลิตตามสัญญา 50 เมกะวัตต์ COD ปี 2570

ทั้งนี้ หากเป็นไปตามแผนที่วางไว้ จะทำให้ กฟผ.มีปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ลอยนํ้าไฮบริด อยู่ที่ 2,725 เมกะวัตต์ ภายในปี 2580 โดยยังไม่รวมการลงทุนก่อสร้างโครงการ Solar Farm แม่เมาะ ระยะที่ 1 จังหวัดลำปาง ขนาดกำลังผลิตตามสัญญา 38.5 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโครงการลดการใช้ไฟฟ้าจากระบบสายส่งไฟฟ้าของเหมืองแม่เมาะที่ใช้ในกิจกรรมการทำเหมือง มีกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเหมืองแม่เมาะภายในปลายปี 2568

นายเทพรัตน์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ในการขับเคลื่อนลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก กฟผ.ยังเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor : SMR) ตามร่างแผน PDP 2024 ที่กำหนดให้มีโรงไฟฟ้า SMR กำลังผลิตรวม 600 เมกะวัตต์ เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2580 เพื่อตอบโจทย์ทั้งความมั่นคงและความยืดหยุ่นของระบบไฟฟ้า โดยไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และมีต้นทุนค่าไฟฟ้าที่แข่งขันได้ และไม่มีความผันผวนของราคาเชื้อเพลิง

อีกทั้ง ระบบความปลอดภัยยังลดความซับซ้อนของอุปกรณ์ ออกแบบให้อยู่ในรูปแบบโมดูล ซึ่งผลิตและประกอบเบ็ดเสร็จจากโรงงานจึงสามารถควบคุมคุณภาพได้ดี รวมถึงสามารถหยุดทำงานได้อัตโนมัติเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน มีระบบระบายความร้อนที่ไม่ต้องพึ่งพาไฟฟ้าสำรอง

นอกจากนี้ ขนาดของโรงไฟฟ้าที่เล็กลงยังทำให้ระยะรัศมีการกำหนดพื้นที่ควบคุมการปล่อยสารกัมมันตรังสีลดลงด้วย โดยโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่อาจมีระยะรัศมีถึง 16 กิโลเมตร ขณะที่โรงไฟฟ้า SMR มีระยะรัศมีน้อยกว่า 1 กิโลเมตร

ปัจจุบัน กฟผ.อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเตรียมการศึกษาความเหมาะสมเบื้องต้น เช่น การประเมินความเหมาะสมของเทคโนโลยี สถานที่ตั้งโรงไฟฟ้า และการพัฒนาบุคลากร อย่างต่อเนื่อง เป็นต้น สร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ได้แก่ บันทึกความเข้าใจ (MOU) กับภาควิชา วิศวกรรมนิวเคลียร์ จุุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้านการพัฒนาบุคลากร บันทึกความเข้าใจ (MOU) กับ China National Nuclear Corporation Overseas Ltd. (CNOS) สาธารณรัฐประชาชนจีน เกี่ยวกับความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์ ความร่วมมือภายใต้โครงการ Foundational Infrastructure for Responsible Use of SMR Technology (FIRST) กับกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา เป็นต้น

ขณะเดียวกัน กฟผ. ได้เร่งขยายการให้บริการสถานีชาร์จ EleX by EGAT และสถานีพันธมิตรในเครือข่าย EleXA แล้ว 413 แห่งทั่วประเทศ โดยในปี 2568 ตั้งเป้าขยายสถานีให้ได้รวม 520 แห่ง รองรับการเติบโตของ EV Ecosystem ในประเทศไทย