sustainable

“ทรัมป์” ถอยหลังโลกร้อน สะเทือนเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาดทั่วโลก

เพียง 100 กว่าวันหลังกลับสู่ทำเนียบขาว “โดนัลด์ ทรัมป์” ล้มทุบนโยบายพลังงานสะอาด ถอนตัวจากข้อตกลงปารีส แช่แข็งงบสีเขียว กระทบหนักตั้งแต่สหรัฐฯ จนถึงอาเซียน

การกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ ในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้งสำหรับอนาคตด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดของโลก หลังเข้ารับตำแหน่งได้เพียง 100 วัน ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Order) มากกว่า 100 ฉบับ ยกเลิกนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่เคยมีมาในยุครัฐบาลก่อนหน้า และชูนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" ที่มองว่านโยบาย Net Zero เป็นภัยต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ

หนึ่งในการเคลื่อนไหวที่สร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วโลก คือการประกาศถอนตัวจากความตกลงปารีส (Paris Agreement) อีกครั้ง พร้อมยกเลิกเงินอุดหนุนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และโครงการพลังงานสะอาดหลายร้อยรายการ โดยให้เหตุผลว่าการมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำจะทำลายอุตสาหกรรมและแรงงานอเมริกัน

ภายใต้คำสั่งของทรัมป์ กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ได้ยกเลิกเงินทุน 2 โครงการสำคัญที่เคยมอบให้แก่องค์กรไม่แสวงหากำไร RMI หนึ่งในนั้นเป็นเงินกว่า 5.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับโครงการปรับปรุงบ้านของผู้มีรายได้น้อยให้ประหยัดพลังงานในรัฐแมสซาชูเซตส์และแคลิฟอร์เนีย อีกโครงการเป็นทุนวิจัย 1.5 ล้านดอลลาร์สำหรับโมเดลการแชร์รถ EV ในเมืองต่าง ๆ

นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่ารัฐบาลกำลังทบทวนโครงการพลังงานสะอาดมากถึง 300 โครงการทั่วประเทศ ทั้งด้านลม แสงอาทิตย์ ระบบกักเก็บพลังงาน และโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ EV ซึ่งเดิมได้รับการสนับสนุนผ่านกฎหมายโครงสร้างพื้นฐานปี 2021 หากถูกตัดงบ อาจสูญเสียงบประมาณรวมมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์

ขณะเดียวกัน สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมสหรัฐฯ (EPA) ก็เปิดฉาก "มหากาพย์การลดกฎระเบียบ" ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมุ่งเป้ายกเลิกมาตรฐานการปล่อยคาร์บอนของโรงไฟฟ้า มาตรฐานรถยนต์ และกฎคุ้มครองแหล่งน้ำ ซึ่งล้วนเป็นมาตรการที่วางรากฐานไว้ในสมัยรัฐบาลโอบามาและไบเดน

ที่น่าจับตาคือความพยายามล่าสุดของ EPA ในการทบทวนข้อสรุปทางวิทยาศาสตร์ที่เคยยอมรับว่า "ก๊าซเรือนกระจกเป็นอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์" หากถูกยกเลิก อาจส่งผลให้ EPA สูญเสียอำนาจในการควบคุมการปล่อยคาร์บอนโดยสิ้นเชิง

ผลกระทบจากนโยบายถอยหลังของสหรัฐฯ ไม่ได้จำกัดอยู่ภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังส่งแรงสะเทือนไปยังภูมิภาคอื่น ๆ โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และยุโรป เช่น อินโดนีเซียและอาร์เจนตินา ที่เริ่มมีการพิจารณาทบทวนพันธกรณีด้านสภาพภูมิอากาศ

ทางด้านสหภาพยุโรปก็เผชิญแรงกดดันจากการแข่งขันกับทั้งสหรัฐฯ และจีน จนต้องเริ่มผ่อนคลายกฎเกณฑ์ด้านความยั่งยืน เช่น การปรับปรุงข้อกำหนดด้านการรายงาน ESG (CSRD) และกฎระเบียบการจัดประเภทกิจกรรมทางเศรษฐกิจสีเขียว (EU taxonomy) เพื่อลดภาระธุรกิจและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

ในโลกการเงิน การเคลื่อนไหวของทรัมป์สร้างความไม่มั่นใจให้นักลงทุนด้าน ESG อย่างชัดเจน ล่าสุด 6 ธนาคารยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ รวมถึง JPMorgan Chase และ Citigroup ได้ถอนตัวออกจาก Net-Zero Banking Alliance (NZBA) ส่งผลให้สินทรัพย์รวมกว่า 14.29 ล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 20% ของกลุ่มพันธมิตร ต้องหลุดออกจากแนวร่วมเพื่อ Net Zero

การถอนตัวของธนาคารเหล่านี้กระทบโดยตรงต่อประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ยังต้องพึ่งพาเงินทุนต่างชาติในการลงทุนโครงการพลังงานสะอาด ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนการเงินสูงขึ้น และต้องชะลอการเปลี่ยนผ่านออกไป

นอกจากนี้ รัฐบาลทรัมป์ยังยกเลิกความช่วยเหลือด้านการเงินระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ โดยข้อมูลจาก Carbon Brief ระบุว่าประมาณ 10% ของเงินทุนโลกร้อนทั่วโลกกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง ซึ่งเดิมมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการปรับตัวและเพิ่มความยืดหยุ่นให้ประเทศที่เปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ในสหรัฐฯ เอง นโยบายใหม่ยังสร้างแรงสั่นสะเทือนต่ออุตสาหกรรมการผลิตสีเขียวที่เคยเติบโตจากกฎหมาย Inflation Reduction Act (IRA) ซึ่งกระตุ้นการลงทุนมากกว่า 133,000 ล้านดอลลาร์ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และสร้างงานจำนวนมากในรัฐทางใต้

แม้ทรัมป์จะประกาศว่ายังต้องการคงห่วงโซ่อุปทานแร่สำคัญไว้ในประเทศ แต่การไม่ต่ออายุนโยบายสนับสนุน EV และพลังงานสะอาด อาจทำให้บริษัทต่าง ๆ ชะลอแผนการลงทุน และส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมสีเขียวในระยะยาว

ที่สำคัญ รัฐบาลทรัมป์ยังออกคำสั่งฝ่ายบริหารที่ให้อำนาจกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ สามารถขัดขวางนโยบายด้านคาร์บอนและ ESG ของแต่ละรัฐได้ เช่น กฎหมายสิ่งแวดล้อมของรัฐแคลิฟอร์เนียและนิวยอร์ก ทำให้แนวโน้มการขับเคลื่อนด้านสิ่งแวดล้อมในระดับรัฐตกอยู่ในภาวะไม่แน่นอน

แม้จะมีเสียงสนับสนุนจากบางกลุ่ม แต่ภาพรวม 100 วันแรกของทรัมป์กลับตอกย้ำข้อเท็จจริงว่า ท่าทีของผู้นำชาติเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลกต่อปัญหาโลกร้อน มีผลกระทบมากกว่าภายในประเทศ และกำลังกระทบอนาคตของการเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาดทั่วทั้งโลก