ตลาดเนื้อสัตว์ในเวียดนามกำลังเผชิญแรงกดดันรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จากการนำเข้าเนื้อสัตว์ราคาถูกที่ครองพื้นที่มากขึ้นในซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า แนวโน้มดังกล่าวอาจกระทบต่อเกษตรกรในประเทศและบั่นทอนความยั่งยืนของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ในระยะยาว หากไม่มีมาตรการเชิงกลยุทธ์เข้ามารองรับ
กระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อมของเวียดนาม เปิดเผยว่า ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 การนำเข้าปศุสัตว์มีมูลค่ารวม 2,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 จากช่วงเดียวกันของปี 2567 โดยเฉพาะเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์มีมูลค่ามากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่นมและผลิตภัณฑ์จากนมมีมูลค่ามากกว่า 860 ล้านดอลลาร์
เฉพาะเดือนกรกฎาคม 2568 เพียงเดือนเดียว เวียดนามนำเข้าปศุสัตว์มูลค่าถึง 400 ล้านดอลลาร์ การขยายตัวดังกล่าวมาจากการบริโภคภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น และต้นทุนวัตถุดิบในประเทศที่สูง จนทำให้ราคาเนื้อสัตว์เวียดนามแพงกว่าสินค้านำเข้า
ข้อมูลจากตลาดค้าปลีกชี้ว่า ราคาเนื้อหมูนำเข้าจากบราซิลต่ำกว่าราคาเนื้อหมูในประเทศประมาณร้อยละ 20–30 ขณะที่ผลิตภัณฑ์แช่แข็งจากยุโรป แคนาดา และออสเตรเลีย มีราคาถูกกว่าถึงร้อยละ 60–80 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สินค้านำเข้ามีราคาต่ำ คือการใช้เทคโนโลยีทันสมัยและการทำฟาร์มขนาดใหญ่ในประเทศผู้ส่งออก ต้นทุนการผลิตที่ลดลงส่งผลโดยตรงต่อความแตกต่างด้านราคา และเป็นแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาซื้อเนื้อนำเข้าเพิ่มขึ้น ซึ่งสร้างแรงกดดันให้เกษตรกรเวียดนามมากยิ่งขึ้น
สมาคมปศุสัตว์ภาคตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Livestock Association: SEA) ระบุว่า ผู้ผลิตในประเทศต้องแบกรับต้นทุนการผลิตสูง เนื่องจากการพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าและการดำเนินงานฟาร์มขนาดเล็ก ขณะที่การเปิดกว้างของตลาดเวียดนามทำให้สินค้าต่างประเทศเข้ามาตีตลาดและท้าทายความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตท้องถิ่น
นายเหงียน ถั่น เคว (Nguyen Thanh Khue) ประธานคณะกรรมการบริษัท Viet-Uc Agricultural Livestock เปิดเผยว่า ฝูงวัวของบริษัทลดลงถึงร้อยละ 90 เมื่อเทียบกับสี่ปีก่อน เนื่องจากต้นทุนการผลิตพุ่งสูง โดยอาหารสัตว์เพียงอย่างเดียวคิดเป็นร้อยละ 80 ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด นอกจากนี้ยังเผชิญแรงกดดันจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน USD/VNĐ และนโยบายภาษีใหม่ โดยเฉพาะการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 5 สำหรับอาหารสัตว์ ซึ่งเดิมเคยได้รับการยกเว้น
ภาระดังกล่าวทำให้ต้นทุนสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาเนื้อสัตว์ภายในประเทศแพงขึ้นและความสามารถในการแข่งขันลดลง กำไรที่หดตัว ประกอบกับการบริโภคเนื้อวัวที่ลดลง ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องลดการผลิต เพื่อรักษาความอยู่รอด ผู้ผลิตเวียดนามพยายามดึงดูดผู้บริโภคด้วยการนำเสนอเนื้อสดแปรรูปในประเทศ เพื่อแข่งขันกับสินค้านำเข้าแบบแช่แข็ง
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า การพึ่งพาพฤติกรรมผู้บริโภคเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ยั่งยืน หากภาคปศุสัตว์ไม่สามารถปรับปรุงการผลิตและลดต้นทุน ความแตกต่างด้านราคาที่กว้างขึ้นอาจผลักดันให้ผู้บริโภคเลือกสินค้านำเข้ามากกว่า ทั้งเนื้อสัตว์แช่เย็นและแช่แข็งจากต่างประเทศที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น
ด้วยสถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรง ผู้เชี่ยวชาญจึงเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการบูรณาการกลยุทธ์ระหว่างรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาตรการที่ถูกหยิบยกขึ้นมา ได้แก่ การควบคุมคุณภาพที่เข้มงวด มาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหารที่สูงขึ้น และอุปสรรคทางเทคนิคเพื่อคุ้มครองผู้ผลิตในประเทศ นอกจากนี้ ยังเสนอให้มีโครงการสนับสนุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี ปรับปรุงการเพาะพันธุ์ และขยายตลาดบริโภคในประเทศ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรม
ผู้เชี่ยวชาญย้ำว่า หากต้องการให้ภาคปศุสัตว์เวียดนามอยู่รอดอย่างยั่งยืนในตลาดโลก จำเป็นต้องเพิ่มผลผลิต ปรับปรุงเทคโนโลยี ใช้รูปแบบการเลี้ยงปศุสัตว์ที่เชื่อมโยงในห่วงโซ่คุณค่า และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างธุรกิจอย่างจริงจัง มาตรการเหล่านี้มีความสำคัญในการลดแรงกดดันจากสินค้านำเข้าราคาถูก คุ้มครองเกษตรกรในประเทศ และรักษาความยั่งยืนของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ในระยะยาว
ข้อมูลอ้างอิง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง