net-zero

ปล่อยคาร์บอนพุ่ง 'กทม.–ชลบุรี' ไทยต้องลดอีก 30 ล้านตันสู่ Net Zero

รายงานล่าสุด อบก. ชี้กรุงเทพฯปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่า 40 ล้านตันต่อปี ตามมาด้วยชลบุรี สระบุรี ระยอง และสมุทรปราการ ขณะที่ไทยยังทำได้เพียง 91 ล้านตันจากเป้า 120 ล้านตัน

องค์การบริหารก๊าซเรือนกระจก (อบก.) เปิดเผยล่าสุดว่า ประเทศไทยในฐานะภาคีสมาชิกความตกลงปารีส และผู้มีพันธกรณีต่อสหประชาชาติ ต้องรายงานความก้าวหน้าด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นระยะ โดยข้อมูลล่าสุดจากรายงาน BUR ฉบับที่ 4

พบว่า ประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิในปี 2562 สูงถึง 280.73 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือคิดเป็นราว 0.7% ของการปล่อยทั้งโลก แม้สัดส่วนดังกล่าวจะไม่สูงเมื่อเทียบกับประเทศอุตสาหกรรมใหญ่ แต่สำหรับไทยถือเป็นโจทย์สำคัญที่จะต้องเร่งปรับตัวเพื่อให้บรรลุเป้า Net Zero ภายในปี 2065

5 จังหวัดปล่อยสูงสุด

รายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกระดับจังหวัดชี้ว่า 5 จังหวัดที่ปล่อยสูงสุดคือ

  • กรุงเทพมหานคร มากกว่า 40 ล้านตัน/ปี สาเหตุหลักจากการใช้พลังงานและการขนส่ง คิดเป็นกว่า 80% ของการปล่อยทั้งหมด
  • ชลบุรี จังหวัดในพื้นที่ EEC มีนิคมอุตสาหกรรมหนาแน่น ปล่อยกว่า 24 ล้านตัน/ปี
  • สระบุรี เมืองอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ใช้พลังงานสูง ปล่อยกว่า 22 ล้านตัน/ปี
  • ระยอง แหล่งอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและโรงกลั่นน้ำมัน ปล่อยกว่า 18 ล้านตัน/ปี
  • สมุทรปราการ เมืองอุตสาหกรรมชายฝั่งใกล้กรุงเทพฯ ปล่อยกว่า 14 ล้านตัน/ปี

จังหวัดดูดซับคาร์บอน

ขณะที่จังหวัดที่มีศักยภาพดูดซับก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดหรือใกล้เคียง Net Zero ได้แก่

  • เพชรบุรี มีพื้นที่ป่าราว 64% โดยเฉพาะป่าแก่งกระจาน กักเก็บได้กว่า 16.4 ล้านตัน
  • กาญจนบุรี มีผืนป่าตะวันตกราว 67% กักเก็บได้กว่า 5.86 ล้านตัน
  • น่าน หลังการฟื้นฟูป่าตลอด 10 ปี มีพื้นที่ป่าประมาณ 60% กักเก็บได้กว่า 4.96 ล้านตัน
  • แม่ฮ่องสอน มีพื้นที่ป่ามากที่สุดในไทยราว 85% แม้เสื่อมโทรมบางส่วน แต่ยังสามารถกักเก็บได้กว่า 4.92 ล้านตัน
  • เชียงใหม่ มีพื้นที่ป่าราว 60% ทั้งป่าธรรมชาติและป่าชุมชน กักเก็บได้กว่า 3.94 ล้านตัน

อย่างไรก็ตาม ศักยภาพการดูดซับก๊าซเรือนกระจกของป่าทั้งประเทศรวมกันอยู่ที่เพียง 91 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ในขณะที่เป้าหมาย Net Zero ของไทยกำหนดไว้ที่ 120 ล้านตัน นั่นหมายความว่าประเทศยังต้องหาทางลดการปล่อยเพิ่มอีกกว่า 30 ล้านตัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในระยะเวลาไม่ถึง 40 ปีข้างหน้า