In Brief
ปัจจุบันมาตรการแข่งขันทางการค้า ไม่ใช่แค่ทางด้านต้นทุนหรือคุณภาพ แต่ยังต้องแข่งขันด้านความยั่งยืน โดยเฉพาะประเด็น ESG และ Net Zero ที่กลายเป็นเงื่อนไขการค้าระหว่างประเทศที่สำคัญ
นายวฤต รัตนชื่น ผู้ช่วยผู้ว่าการวิจัย นวัตกรรม และพัฒนาธุรกิจ กฟผ. ระบุว่า การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและยั่งยืนของประเทศไทยเป็นประเด็นที่ กฟผ. ให้ความสำคัญ เพราะในปัจจุบันโลกกำลังเผชิญแรงกดดันด้านสิ่งแวดล้อมและกฎกติกาการค้าใหม่ๆ ที่เชื่อมโยงกับการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เช่น อัตราค่าไฟฟ้าสีเขียว (Green Tariff) และมาตรการภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM)
ทั้งนี้ ประเทศไทยในฐานะผู้ได้รับผลกระทบจำเป็นต้องเร่งปรับตัวเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน ไม่เพียงแต่เพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเท่านั้น แต่ยังต้องสามารถบริหารจัดการ “สิทธิสีเขียว” (Energy Attribute Certificates - EACs) ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก
นายวฤต กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา กฟผ. เปิดให้บริการอัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียว หรือ Utility Green Tariff (UGT) การซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม หรือน้ำ ควบคู่กับ ใบรับรองการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน หรือ Renewable Energy Certificate (REC) เพื่อให้ผู้ใช้ไฟฟ้า (โดยเฉพาะภาคธุรกิจ) ใช้เป็นหลักฐานอ้างสิทธิ์ว่าใช้พลังงานสะอาดตามมาตรฐานสากล และใช้ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมาย Net Zero หรือรับมือกับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมจากต่างประเทศ เช่น CBAM ของสหภาพยุโรป
นอกจากนี้ กฟผ.ยังได้วางยุทธศาสตร์การพัฒนาพลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง ทั้งการลงทุนในโซลาร์ฟาร์ม วินด์ฟาร์ม และการส่งเสริมโซลาร์รูฟท็อป
อย่างไรก็ดี ด้วยความผันผวนของพลังงานหมุนเวียนที่ไม่สามารถผลิตได้ตลอดเวลา กฟผ.จึงพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเสริมความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ควบคู่กับการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีแห่งอนาคต เช่น ไฮโดรเจน การดักจับและใช้ประโยชน์จากคาร์บอน (CCUS) เทคโนโลยีพลังงานสะอาดใหม่ SMR ไปจนถึงพลังงานฟิวชันในระยะยาว
ขณะเดียวกัน กฟผ. ยังส่งเสริมการแก้ปัญหาด้วยธรรมชาติ เช่น การปลูกป่าเพื่อดักจับคาร์บอน ซึ่งเป็นวิธีการที่ง่ายและมีประสิทธิภาพ
กฟผ.ผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้า โดยสนับสนุนการใช้ไฟฟ้าแทนเชื้อเพลิงฟอสซิล (EV Ecosystem) พร้อมให้บริการคำปรึกษาและแพลตฟอร์มจัดการพลังงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ไฟฟ้า
อีกทั้งยังมีบริการจัดหาพลังงานสะอาด คาร์บอนเครดิต และผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าสีเขียวที่มาพร้อมสิทธิสีเขียว (REC) ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเลือกใช้ไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยังพยายามผลักดันให้มาตรฐานคาร์บอนเครดิตและสิทธิ์สีเขียวของไทยได้รับการยอมรับในระดับสากล
นายวฤต ยังกล่าวอีกว่า กฟผ.มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ โดยร่วมมือกับองค์กรพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศอย่าง IRENA วางแผนรองรับการเพิ่มขึ้นของพลังงานหมุนเวียน ขณะเดียวกันก็ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ(AI) ในการพยากรณ์การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน
รวมถึงปรับปรุงโรงไฟฟ้าให้สามารถตอบสนองความต้องการได้อย่างรวดเร็ว และพัฒนาระบบส่งที่รองรับการไหลของไฟฟ้าสองทิศทาง นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาระบบตอบสนองด้านความต้องการไฟฟ้า (Demand Response) การทดลองติดตั้งระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) และการสร้างโรงไฟฟ้าเสมือน (Virtual Power Plant) รวมถึงการใช้ศักยภาพของโครงการใหม่ ๆ เช่น โซลาร์เซลล์ลอยน้ำในอ่างเก็บน้ำ ซึ่งช่วยทั้งผลิตไฟฟ้าและลดการระเหยของน้ำ
“เป้าหมายระยะยาวของ กฟผ. คือการสร้างระบบพลังงานที่สะอาด มั่นคง และยั่งยืน เพื่อให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันได้ในเศรษฐกิจโลกที่เข้มงวดขึ้น พร้อมทั้งรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ภัยธรรมชาติและฝนตกหนัก กฟผ.เชื่อว่าการลงทุนและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในวันนี้ จะเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศสู่อนาคตพลังงานที่มั่นคงและยั่งยืนอย่างแท้จริง”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง