KEY
POINTS
นายวฤต รัตนชื่น ผู้ช่วยผู้ว่าการวิจัย นวัตกรรม และพัฒนาธุรกิจ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยในการกล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “EGAT Way to Energy Future” ในงานสัมมนา “A Call for Adaptation: The Sustainability in Trade & Industry” ซึ่งจัดโดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ร่วมกับ Sustainability Expo 2025 (SX2025) ว่า
ปัจจุบันมีการกล่าวถึง Net Zero ซึ่งทำให้กลายมาเป็นมาตรการแข่งขันทางการค้า ไม่ใช่แค่ทางด้านต้นทุนหรือคุณภาพ แต่ยังต้องแข่งขันด้านความยั่งยืน โดยเฉพาะประเด็น ESG และ Net Zero ที่กลายเป็นเงื่อนไขการค้าระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ กฟผ. จึงต้องเร่งปรับตัว มุ่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานผ่านเทคโนโลยี 3 ระยะ เพราะในฐานะผู้ผลิตไฟฟ้า จึงถูกมองว่าเป็นหนึ่งในผู้ปล่อยคาร์บอนรายใหญ่ ประกอบด้วย
นอกจากนี้ กฟผ. ยังสร้าง EV Ecosystem ครบวงจรเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านจากน้ำมันสู่ยานยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี (EV) รวมถึงพัฒนาแพลตฟอร์มบริหารจัดการพลังงานด้วยปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ (AI) ,Smart Board , การซื้อขายไฟฟ้าและเครดิตคาร์บอนในกลุ่ม RE100 รวมถึงโซลูชัน Solar และ PPA ที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
อย่างไรก็ดี ประเทศไทยมีศักยภาพโดดเด่นด้านพลังงานแสงอาทิตย์ โดยเฉพาะ โซลาร์ลอยน้ำบนอ่างเก็บน้ำ (Floating Solar) ซึ่งปัจจุบัน กฟผ. ได้นำร่องตามเขื่อนต่างๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าโดยไม่กระทบการประมงหรือวิถีชุมชน
อีกทั้งยังจัดตั้ง RE Forecast Center ใช้ AI คาดการณ์ปริมาณไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนแบบเรียลไทม์ เพื่อแก้ปัญหาความผันผวนและรักษาเสถียรภาพระบบไฟฟ้า
นายวฤต กล่าวอีกว่า ตาม แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ฉบับใหม่ กฟผ. ตั้งเป้าพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานมากกว่า 45,000 เมกะวัตต์ แบ่งเป็น 20,000 เมกะวัตต์ จาก Pump Storage Hydro และอีก 25,000 เมกะวัตต์ จาก Battery Storage