วันที่ 5 มิถุนายน 2568 ณ โครงการแปลงสาธิตการทำนาและโรงสีข้าวของมูลนิธิชัยพัฒนา อำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายสุเมธ ตันติเวชกุล กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ นำคณะผู้บริหารระดับสูงจากทั้งสองมูลนิธิ ลงพื้นที่ติดตามผลการดำเนินงานของโครงการ “ลดการเผาตอซังฟางข้าวในแปลงนา” ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีสีเขียว หรือ Green Technology มาใช้ผ่านจุลินทรีย์ชีวภาพย่อยสลายตอซังฟางข้าว ลดการเผา ลดคาร์บอน ลดฝุ่น PM2.5 และยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทยในระยะยาว
โครงการนี้ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของมูลนิธิชัยพัฒนา ภายใต้พระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ที่สืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชฯ ในการพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมของคนไทยให้มั่นคง ควบคู่กับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม โดยโครงการแปลงสาธิตการทำนาและโรงสีข้าวของมูลนิธิชัยพัฒนา จ.พระนครศรีอยุธยา ได้รับการพัฒนาให้เป็นต้นแบบของระบบการปลูกข้าวที่ปลอดภัยจากสารพิษ ใช้ต้นทุนต่ำ และยั่งยืน
หนึ่งในความท้าทายสำคัญของภาคเกษตรไทยคือการจัดการตอซังฟางข้าวหลังเก็บเกี่ยว ซึ่งที่ผ่านมาเกษตรกรจำนวนมากเลือกใช้วิธีเผา ทำให้เกิดทั้งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นตัวการสำคัญของภาวะโลกร้อน และฝุ่นควันพิษที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนในชุมชนโดยรอบ โดยเฉพาะฝุ่นขนาดเล็ก PM2.5 ที่เป็นปัญหาเรื้อรังในหลายจังหวัดของไทย
มูลนิธิชัยพัฒนาและมูลนิธิข้าวไทยฯ จึงร่วมมือกับพันธมิตรจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาควิชาการ อาทิ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในการผลักดันแนวทางการใช้จุลินทรีย์ย่อยสลายตอซังฟางข้าวมาใช้จริง โดยได้เริ่มทดลองครั้งแรกในเดือนตุลาคม 2567 ที่ศูนย์บริการวิชาการเกษตรของมูลนิธิชัยพัฒนา อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านจาก “การเผา” สู่ “การย่อยสลาย” ที่ปลอดภัยต่อทั้งสิ่งแวดล้อมและชุมชน
จุลินทรีย์ที่ใช้นั้นเป็นกลุ่มแบคทีเรียบาซิลลัส (Bacillus) ที่วิจัยและพัฒนาโดยนายวิเชียร ยงมานิตชัย นักชีววิทยาเกษียณจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้คิดค้นนวัตกรรมนี้โดยเฉพาะ ซึ่งจุลินทรีย์กลุ่มนี้มีคุณสมบัติเฉพาะในการย่อยสลายตอซังฟางข้าวให้กลายเป็นสารอินทรีย์ในเวลาเพียง 5-7 วัน โดยไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ สัตว์ หรือสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน ลดต้นทุนการเพาะปลูกในระยะยาว และเพิ่มผลผลิตให้เกษตรกรได้อย่างยั่งยืน
นอกจากผลดีต่อระบบนิเวศในนาแล้ว แนวทางนี้ยังช่วยลดปัญหาสุขภาพของชุมชน เนื่องจากไม่มีการปล่อยควันหรือฝุ่นพิษจากการเผา ไม่เพิ่มก๊าซเรือนกระจก ไม่กระทบสุขภาพทางเดินหายใจของประชาชน และยังเป็นการตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ที่ไทยและหลายประเทศทั่วโลกกำลังผลักดันอยู่ในปัจจุบัน
การติดตามความคืบหน้าของโครงการในครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่เพียงการประเมินผลการใช้จุลินทรีย์ในแปลงนา แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณเชิงนโยบายถึงความมุ่งมั่นของมูลนิธิชัยพัฒนาและพันธมิตร ในการผลักดันให้เกิดการขยายผลจริงในพื้นที่เกษตรทั่วประเทศ หากโครงการประสบความสำเร็จ ก็จะสามารถยกระดับจาก “แปลงทดลอง” สู่ “แปลงต้นแบบ” ที่จะจุดประกายการเปลี่ยนแปลงในวิถีการทำนาไทยอย่างยั่งยืนในอนาคต
การทำนาไม่ควรเป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาเทคโนโลยีจุลินทรีย์ที่ปลอดภัยอย่างแท้จริง อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญของโลกการเกษตรในศตวรรษที่ 21 ซึ่งกำลังเผชิญกับความท้าทายทั้งด้านโลกร้อน ปัญหาฝุ่นควัน และต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น หากแนวทางนี้เดินหน้าได้จริง จะไม่เพียงแค่ช่วยเกษตรกรไทย แต่ยังอาจกลายเป็นนวัตกรรมเพื่อโลกในระยะยาวอีกด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง