“แสนสิริ”ปูพรม Solar Roof-EV Charger 100% ใน 52 โครงการใหม่

11 มี.ค. 2566 | 05:20 น.

“แสนสิริ”กางแผนธุรกิจปี 2566 เดินหน้าเป้าหมายองค์กรสู่ความยั่งยืน กับ 52 โครงการ มูลค่ากว่า 7.5 หมื่นล้าน ปูพรมทุกโครงการคำนึงถึงการลดใช้พลังงาน การสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน ลุยติดตั้ง Solar Roof และ EV Charger ครบ 100% สู่องค์กร Net Zero ปี 2593

นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงแผนและความคืบหน้าการก้าวขึ้นเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายแรกของไทย ที่ตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-zero) ภายในปี ค.ศ. 2050 (พ.ศ.2593) เพื่อร่วมแก้ปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)

 แผนธุรกิจปี 2566 แสนสิริจะเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ 52 โครงการ มูลค่ารวม 7.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 30 โครงการ และคอนโดมิเนียม 22 โครงการ ซึ่งงบการลงทุนดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของการมุ่งสูเป้าความยั่งยืน โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม ที่แสนสิริเดินหน้ามาตั้งแต่กว่า 10 ปีก่อน ด้วยความพยายามในการสร้างพื้นที่สีเขียว จนมาถึงปัจจุบน ได้ขยายขอบข่ายไปถึงการลดปัญหาขยะ และการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี

“แสนสิริ”ปูพรม Solar Roof-EV Charger 100% ใน 52 โครงการใหม่

ทั้งนี้ แสนสิริ ตั้งเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์( Net Zero) ภายในปี 2050 (พ.ศ.2593) โดยจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจโดยตรงของบริษัท (ขอบเขตที่ 1 และ 2) ให้ได้ 20% ภายในปี 2025 (พ.ศ.2568) และลดก๊าซเรือนกระจกของทั้งขอบเขตที่ 1, 2 และ 3 ให้อยู่ที่ 50% ในปี 2033 (พ.ศ. 2576)

ภายใต้ 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1.ก้าวสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนตํ่า มุ่งประหยัดพลังงานและใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ยกระดับการการใช้นวัตกรรมเพื่อพลังงานสะอาดเป็น 100% ภายในปี 2025 (พ.ศ.2568) ผ่านการขยายแผนการติดตั้ง Solar Roof และ EV Charger ครบ 100% ให้กับบ้านแสนสิริทุกหลังทุกระดับราคา, ในคลับเฮาส์ของทุกโครงการใหม่แสนสิริ, ติดตั้งระบบสูบนํ้าและบำบัดนํ้าเสียพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Water Treatment Pump) ในพื้นที่ส่วนกลางของทุกโครงการ

การเปลี่ยนรถส่วนกลางของบริษัทให้เป็นรถ EV 100% และเปลี่ยนการใช้นํ้ามันของเครื่องจักรทุกชนิดมาใช้พลังงานไบโอดีเซล 100% ซึ่งปีที่ผ่านมาได้ติดตั้ง Solar Roof บ้านเดี่ยวไปแล้วกว่า 700 หลัง และในปี 2566 จะติดตั้งอีกว่า 1,000 หลัง ส่วน EV Charger ติดตั้งไปแล้วประมาณ 750 หลัง และปีนี้ติดเพิ่มอีก 650 หลัง รวมเกือบ 1,500 หลัง

ล่าสุด แสนสิริยังเดินหน้าติดตั้งโซลาร์บวกแบตเตอรี่ขนาด 5kWp กักเก็บพลังงานสะอาดจาก Solar Panel ที่คลับเฮาส์โครงการบ้านเดี่ยว และจะเริ่มติดตั้งที่ทุกโครงการที่เปิดใหม่ปี 2566 จะสามารถช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าส่วนกลางได้สูงถึง 1 แสนบาท ลดคาร์บอนได้มากถึง 10 ตันคาร์บอนต่อปี หรือ เทียบเท่าปลูกต้นไม้ใหญ่ถึง 676 ต้นต่อปี

นายอุทัย กล่าวอีกว่า ส่วนกลยุทธ์ที่ 2 เป็นการออกนโยบายด้านธรรมาภิบาลเพื่อลดคาร์บอนตลอดห่วงโซ่คุณค่า ภายใต้การดำเนินการ 3G ได้แก่ Green Procurement เลือกคู่ค้าที่ใส่ใจกระบวนการผลิตที่ยั่งยืน มีแผนลดการใช้พลังงานและนํ้าทั้งในการผลิตและการใช้งานระยะยาว ใช้วัสดุในการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งลดการใช้ทรัพยากรและนำกลับมาใช้ใหม่ (Circular Economy) พร้อมวางเป้าหมายจัดซื้อวัสดุ Low-carbon ที่ได้รับการรับรองจากสถาบันที่เกี่ยวข้อง ในสัดส่วน 30% ของวัสดุที่ผ่านการจัดซื้อโดยแสนสิริ ภายในปี 2025 (พ.ศ.2568)

Green Architecture & Design เน้นการออกแบบที่อยู่อาศัยด้วยนวัตกรรม Cooliving Designed Home ช่วยประหยัดพลังงาน, Zero Waste Design การออกแบบที่ลดการสิ้นเปลืองและลดปริมาณขยะให้มากที่สุด, Universal Design การออกแบบที่ครอบคลุมการใช้งานของผู้อยู่อาศัยทุกวัย และ Green Construction การก่อสร้างและพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีวัสดุเหลือใช้เป็นศูนย์

สำหรับกลยุทธ์ที่ 3 การลงทุนในนวัตกรรมสีเขียว ลงทุนในบริษัทที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีพลังงานสะอาด และเทคโนโลยีการก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยงบประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันได้ลงทุนไปแล้ว 3 บริษัท คิดเป็นเงินลงทุนประมาณ 120 ล้านบาท

นอกจากนี้ แสนสิริยังวางแผนจับมือกับพันธมิตรกว่า 10 ราย ตั้งทีมวิจัยและพัฒนา (Research & Development Team) เพื่อพัฒนาบ้านที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net-Zero Home) ครั้งแรกของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทยให้ได้ภายในปี 2050 (พ.ศ.2593) โดยมีบริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจเครื่องชาร์จรถพลังงานไฟฟ้าครบวงจร และ บริษัท ไอออน เอนเนอร์ยี่ จำกัด ผู้พัฒนาโซลูชั่นพลังงานโซลาร์ครบวงจรเป็นหนึ่งในพันธมิตร

เป้าหมายระยะสั้นและระยะกลางที่จะพัฒนาบ้านประหยัดพลังงาน (Low-energy Home) ภายในปี 2023 (พ.ศ.2566) และบ้านที่ลดการปล่อยคาร์บอน 30% (Low-carbon Home) ภายในปี 2030 (พ.ศ.2573) ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาวิจัยเทรนด์และนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน อาทิ การใช้ AI ในการคำนวณการประหยัดพลังงานของที่อยู่อาศัย, การใช้ไฟเบอร์แทนเหล็กเส้นในการก่อสร้าง, การพัฒนานวัตกรรมการก่อสร้างแบบพรีคาสต์ให้ปลอ่ยคาร์บอนและของเสียเป็นศูนย์, หลังคาโซลาร์เซลส์ที่ผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้นและมีแบตเตอร์รี่กักเก็บพลังงานไว้ใช้ในเวลากลางคืน, กระเบื้องลอนมุงหลังคาที่ผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์, การแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ระหว่างครัวเรือน, สวนที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% และนวัตกรรมของเครื่องชาร์จรถพลังงานไฟฟ้าแห่งอนาคต เป็นต้น