ค่าไฟจ่อพุ่งทะลุสูงสุดเกิน 6 บาทต่อหน่วยปี 66 เพราะอะไร อ่านเลยที่นี่

14 พ.ย. 2565 | 11:18 น.

ค่าไฟจ่อพุ่งทะลุสูงสุดเกิน 6 บาทต่อหน่วยปี 66 เพราะอะไร อ่านเลยที่นี่มีคำตอบ หลัง กกพ. แจง 3 กรณีปรับขึ้นค่าเอฟทีงวด ม.ค. - เม.ย. 2566

ค่าไฟปี 66 จ่อพุ่งทะลุเกิน 6 บาทต่อหน่วย เพราะอะไร "ฐานเศรษฐกิจ" มีคำตอบ

 

นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า กกพ. ในการประชุมครั้งที่ 51/2565 (ครั้งที่ 818) เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2565 มีมติรับทราบภาระต้นทุนค่าเอฟทีประจำรอบ พ.ค. - ส.ค. 2565 และเห็นชอบผลการคำนวณประมาณค่าเอฟทีสำหรับงวดเดือน ม.ค. - เม.ย. 2566 พร้อมให้สำนักงาน กกพ. นำค่าเอฟทีประมาณการและแนวทางการจ่ายภาระต้นทุนคงค้างที่ กฟผ. แบกรับในกรณีต่างๆ ดังนี้

 

  • กรณีที่ 1 ค่าเอฟทีเรียกเก็บประจำงวดเดือน ม.ค.- เม.ย. 2566 จำนวน 224.98 สตางค์ต่อหน่วย  แบ่งเป็นเอฟทีขายปลีกประมาณการที่สะท้อนต้นทุนเดือน ม.ค.- เม.ย. 2566 จำนวน 158.31 สตางค์ต่อหน่วย    และเงินทยอยเรียกเก็บเพื่อชดเชยต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงบางส่วน 66.67 สตางค์ต่อหน่วยเพื่อให้ กฟผ. ได้รับเงินคืนครบภายใน 1 ปี โดย กฟผ. จะต้องบริหารภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงแทนประชาชนจำนวน 81,505 ล้านบาท ทำให้ค่าไฟฟ้า (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 6.03 บาทต่อหน่วย

 

  • กรณีที่ 2 ค่าเอฟทีเรียกเก็บประจำงวดเดือน ม.ค.- เม.ย. 2566 จำนวน 191.64 สตางค์ต่อหน่วย  แบ่งเป็นเอฟทีขายปลีกประมาณการที่สะท้อนต้นทุนเดือน ม.ค.- เม.ย. 2566 จำนวน 158.31 สตางค์ต่อหน่วย    และเงินทยอยเรียกเก็บเพื่อชดเชยต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงบางส่วน 33.33 สตางค์ต่อหน่วยเพื่อให้ กฟผ. ได้รับเงินคืนครบภายใน 2 ปี โดย กฟผ. จะต้องบริหารภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงแทนประชาชนจำนวน 101,881 ล้านบาท ทำให้ค่าไฟฟ้า (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5.70 บาทต่อหน่วย
  • กรณีที่ 3 ค่าเอฟทีเรียกเก็บประจำงวดเดือน ม.ค.- เม.ย. 2566 จำนวน 158.31 สตางค์ต่อหน่วย  โดย กฟผ. จะต้องรับภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงแทนประชาชนจำนวน 122,257 ล้านบาท ทำให้ค่าไฟฟ้า (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5.37 บาทต่อหน่วย

 

นายคมกฤช กล่าวว่า การประมาณการค่าไฟฟ้าดังกล่าวเป็นไปตามประกาศคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเรื่อง กระบวนการ และขั้นตอนการใช้สูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ โดยมีสมมุติฐานและปัจจัยในการพิจารณาค่าเอฟทีในรอบเดือน ม.ค. - เม.ย. 2566 ตามผลการคำนวณของ กฟผ. ประกอบด้วย

  • การจัดหาพลังงานไฟฟ้าในช่วงเดือน ม.ค. – เม.ย. 2566 เท่ากับประมาณ 67,833 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้น 3,724 ล้านหน่วยจากประมาณการงวดก่อนหน้า (เดือน ก.ย. – ธ.ค. 2565) ที่คาดว่าจะมีการจัดหาพลังงานไฟฟ้าเท่ากับ 64,091 หน่วย หรือเพิ่มขึ้น 5.84%

 

  • ​​สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าในช่วงเดือน ม.ค. – เม.ย. 2566 ยังคงใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก 54.20% ของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด นอกจากนี้เป็นการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ (ลาวและมาเลเซีย) รวม 13.81% และ ลิกไนต์ของ กฟผ. 8.46% เชื้อเพลิงถ่านหินนำเข้าโรงไฟฟ้าเอกชน 6.25% พลังน้ำของ กฟผ. 3.48% น้ำมันเตา (กฟผ. และ IPP) 0.73% น้ำมันดีเซล (กฟผ. และ IPP) 6.31% และอื่นๆ อีก 6.75%
  • ราคาเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ใช้ในการคำนวณค่าเอฟทีเดือน ม.ค. – เม.ย. 2566 เปลี่ยนแปลงจากการประมาณการในเดือน ก.ย.– ธ.ค. 2565 โดยราคาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า และราคาถ่านหินนำเข้าเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นมากจากรอบเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2565 โดยที่เชื้อเพลิงอื่นๆ มีการปรับตัวขึ้นเล็กน้อยและคงที่ ดังที่แสดงในตาราง

 

ค่าไฟปี 66 จ่อพุ่งทะลุสูงสุดเกิน 6 บาทต่อหน่วย  
        

  • อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยที่ใช้ในการประมาณการ ซึ่งใช้อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ย 1 เดือนย้อนหลังก่อนทำประมาณการ (1 – 30 ก.ย. 2565) เท่ากับ 37.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐ อ้างอิงข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นฐานซึ่งอ่อนค่าลงจากประมาณการในงวดเดือน ก.ย. - ธ.ค. 2565 ที่ประมาณการไว้ที่ 34.40 บาทต่อเหรียญสหรัฐอยู่ 2.60 บาทต่อเหรียญสหรัฐ (เพิ่มขึ้น 7.75%)

 

​สถานการณ์ค่าไฟฟ้าในประเทศไทยยังคงอยู่ในสภาวะที่อ่อนไหวและยังคงผันผวนอยู่ในระดับราคาที่สูงตามสถานการณ์ราคา LNG และราคาน้ำมันในตลาดโลก โดยมีปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าและค่าเอฟทีเรียกเก็บตลอดปี 2566 ดังนี้

 

  • ความไม่แน่นอนของก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยและแนวโน้มที่จะสามารถจ่ายก๊าซจากแหล่งเอราวัณเข้าสู่ระดับปกติหรือใกล้เคียงปกติเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการนำเข้า LNG มาทดแทน

 

  • การลดลงของแหล่งก๊าซธรรมชาติทางตะวันตก (ในเมียนมา) โดยอาจจะต้องนำก๊าซธรรมชาติเหลวหรือ LNG เข้ามาทดแทนในปริมาณมากขึ้นเพื่อทดแทนหรือหาแหล่งพลังงานรูปแบบอื่น เช่น พลังน้ำหรือ พลังงานหมุนเวียนอื่นๆเข้ามาทดแทน

 

  • สภาวะราคา LNG ในตลาดโลกมีการแกว่งตัวในระดับที่สูงถึงสูงมากเนื่องจากอุปสงค์ (Demand) ของ LNG ในตลาดโลกยังคงมีมากกว่าอุปทาน (Supply) และตลาดอาจจะมีลักษณะดังกล่าวต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2566 อันเป็นผลต่อเนื่องจากที่ยุโรปลดการนำเข้าก๊าซทางท่อจากรัสเซียและหันไปซื้อ LNG ในตลาดจรแทนและการทยอยพื้นตัวทางเศรษฐกิจของหลายๆ ประเทศหลังวิกฤต Covid-19 ส่งผลต่อความต้องการใช้พลังงานที่สูงขึ้นรวมทั้งประเทศไทย

 

  • อัตราแลกเปลี่ยน (ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ) ยังคงอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องและส่งผลต่อราคาเชื้อเพลิงและค่าความพร้อมจ่ายของโรงไฟฟ้า กฟผ. และ IPP ทีเพิ่มขึ้น