KEY
POINTS
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ บริษัทในเครือแสนสิริ นำกรณีศึกษาจริงจากภาวะน้ำท่วมรุนแรงในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา มายกระดับมาตรฐานงานบริหารจัดการอาคาร หลังพบว่าวิกฤตครั้งนี้ส่งผลกระทบหนักทั้งด้านไฟฟ้าดับ ถนนถูกตัดขาดจากกระแสน้ำเชี่ยว และข้อจำกัดด้านการสื่อสารที่ไม่สามารถพึ่งพาระบบออนไลน์ได้ตามปกติ จนต้องปรับแนวคิดการทำงานให้เข้มข้นและยืดหยุ่นมากกว่าเดิม
นางสาวนฤมล อาภรณ์ธนกุล รองกรรมการผู้จัดการสายงานบริหารอาคาร บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า การทำงานท่ามกลางวิกฤตต้องอาศัยการประสานงานที่แม่นยำและรวดเร็วทุกวินาที ทั้งทีมของพลัสฯ ทีมแสนสิริ หน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน รวมถึงเครือข่ายชุมชนในพื้นที่ ต่างร่วมกันรับมืออย่างเต็มกำลัง
“สิ่งสำคัญที่สุดคือความพร้อมของแผนงานและการสื่อสารที่ชัดเจน เพราะในสถานการณ์ฉุกเฉิน การตัดสินใจที่ถูกต้องทันเวลา คือกุญแจสำคัญในการช่วยลดความเสียหาย” นางสาวนฤมล กล่าว
พลัสฯ ระบุว่าแผนรับมือเหตุฉุกเฉินถูกนำมาใช้อย่างเป็นระบบทันที โดยมีโครงสร้างการทำงานสำคัญ 5 ส่วน ได้แก่ การตั้ง War Room เป็นศูนย์กลางประสานงานหลักเพื่อรวบรวมสถานการณ์แบบเรียลไทม์ และกำหนดทิศทางปฏิบัติการ ทีมปฏิบัติถูกแบ่งย่อยตามภารกิจ ไม่ว่าจะเป็นทีมจัดหาเสบียง ทีมลำเลียงความช่วยเหลือ ทีมประสานงานภาครัฐ ทีมสื่อสาร และทีมวิศวกรรมเพื่อตรวจสอบระบบอาคารจุดวิกฤต
อีกหนึ่งภารกิจสำคัญคือการดูแล “กลุ่มเปราะบาง” โดยทีมงานได้จัดเก็บข้อมูลลูกบ้านที่เป็นผู้สูงอายุ เด็กเล็ก หรือผู้ป่วยที่ใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ ทำให้สามารถวางลำดับการช่วยเหลือได้แม่นยำและเข้าถึงผู้ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนได้อย่างทันท่วงที
ในช่วงที่ไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตล่ม การสื่อสารจำเป็นต้องกลับไปใช้วิธีพื้นฐาน เช่น การเดินประกาศแจ้งข่าวสาร และเขียนข้อมูลสำคัญติดบอร์ดในจุดต่าง ๆ เพื่อให้ทุกห้องสามารถติดตามความคืบหน้าได้ นอกจากนี้ ทีมงานยังใช้วิธีสังเกตการณ์แบบง่ายแต่ได้ผล คือขอให้ลูกบ้านวางรองเท้าไว้หน้าห้อง เพื่อให้ทราบว่าห้องใดยังมีผู้อาศัยอยู่และสามารถกระจายข้อมูลหรือช่วยเหลือได้ทันทีโดยไม่ต้องเคาะประตูทุกห้อง
ด้านการช่วยเหลือภาคพื้นดิน ทีมงานได้จัดหาอาหาร น้ำดื่ม ถุงยังชีพ และประสานหารถขนาดใหญ่ เรือ เจ็ตสกี รวมถึงกำลังสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อส่งต่อให้ลูกบ้านในพื้นที่น้ำท่วมสูง ซึ่งเส้นทางเข้าถึงยากเป็นพิเศษ
ในมุมการบริหารทีมงาน พลัสฯ ให้ความสำคัญกับการจัดลำดับงานและการสนับสนุนทรัพยากรที่เหมาะสม เพื่อลดภาระงานที่ไม่จำเป็นในภาวะวิกฤตและทำให้ทีมหน้างานโฟกัสกับงานที่จำเป็นที่สุด พร้อมกันนี้ยังย้ำว่าการปลูกฝัง “DNA การดูแลลูกบ้านด้วยใจ” ต้องทำอย่างต่อเนื่องผ่านการอบรม เพื่อให้บุคลากรพร้อมรับมือเหตุการณ์ไม่คาดคิดในอนาคต
เมื่อระดับน้ำเริ่มลดลง ทีมงานได้เร่งเข้าสู่ “ระยะฟื้นฟู” โดยให้ความสำคัญกับตรวจสอบระบบอาคาร เช่น เครื่องไฟฟ้า ระบบลิฟต์ และความพร้อมของระบบสำคัญ ก่อนที่จะนำกลับมาใช้งานจริง ขณะเดียวกันต้องทำความสะอาดพื้นที่หลังเกิดน้ำท่วม เนื่องจากน้ำมักพาตะกอนและสิ่งปนเปื้อนจำนวนมาก พลัสฯ ยังได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรภาคเอกชน เช่น บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน), บริษัท เพชรสยาม เพ้นท์ติ้ง จำกัด และบริษัท เอ็ม.อี.อี ทีม คอนสตรัคชั่น จำกัด ในการดูแลงานฟื้นฟูในระยะเร่งด่วน
อีกหนึ่งหัวใจสำคัญหลังเหตุการณ์ครั้งนี้ คือการถอดบทเรียนเพื่อเพิ่มศักยภาพงานบริหารอาคารในอนาคต โดยเสนอให้โครงการจัดเตรียมเตาแก๊สสนามสำหรับประกอบอาหารเมื่อการขนส่งล่าช้าหรือไฟฟ้าใช้การไม่ได้ รวมถึงจัดเตรียมแหล่งพลังงานสำรอง เช่น แบตเตอรี่และชุดชาร์จไฟฉุกเฉิน เพื่อรักษาการสื่อสารขั้นพื้นฐานให้เกิดความต่อเนื่อง
พลัสฯ ระบุว่าในมิติของ Property Management การเตรียมพร้อมเชิงรุกและการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงคือสิ่งจำเป็น เพราะช่วยให้การวางแผนในอนาคตมีความเป็นระบบ แม่นยำ และลดผลกระทบต่อทั้งลูกบ้านและทีมงานได้มากที่สุด โดยย้ำว่าทุกโครงการควรมีแผนรับมือฉุกเฉินที่ครอบคลุมตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ ระหว่างภาวะวิกฤต และหลังน้ำลด เพื่อให้สามารถคืนคุณภาพชีวิตให้ลูกบ้านได้เร็วที่สุด