ในยุคที่คำว่า “บ้าน” ไม่ได้หมายถึงเพียงที่อยู่อาศัย แต่คือ “สินทรัพย์ชีวิต” ที่สะท้อนสุขภาวะ เศรษฐกิจ และความรับผิดชอบต่อโลก แนวคิด “บ้านยั่งยืนอยู่สบาย” จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย โดย นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลดับเบิลยูเอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด ชี้ว่า บ้านที่ดีในอนาคตจะต้อง “อยู่สบาย ประหยัดพลังงาน ส่งเสริมสุขภาวะ และเพิ่มมูลค่าได้จริง” ซึ่งเป็นทั้งเทรนด์ผู้บริโภคและทิศทางการลงทุนที่สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero ของโลก
แนวคิด “บ้านอยู่สบาย” (Liveable Home) มุ่งเน้นสุขภาวะของผู้อยู่อาศัยทั้งทางกายและใจ ด้วยสภาพแวดล้อมภายในที่ดีต่อชีวิตประจำวัน เช่น อากาศบริสุทธิ์ แสงธรรมชาติที่เหมาะสม และเสียงรบกวนน้อย ส่วน “บ้านยั่งยืน” (Sustainable Home) คือบ้านที่ออกแบบ ก่อสร้าง และใช้งานโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมในทุกมิติ ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศในระยะยาว โดยยึดหลัก 3E ได้แก่ Energy ประสิทธิภาพพลังงาน, Environment สิ่งแวดล้อม, และ Experience ประสบการณ์ของผู้อยู่อาศัย
แนวโน้มตลาดในปัจจุบันสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผู้บริโภคไม่ได้มองเพียงราคาขายหรือทำเลอีกต่อไป แต่เริ่มให้ความสำคัญกับ “คุณค่าที่อยู่ในตัวบ้าน” สอดรับกับ 4 เมกะเทรนด์หลักของโลก ได้แก่ พลังงานที่แพงขึ้น ภาวะโลกร้อน สุขภาวะหลังโควิด และการเข้ามาของการเงินสีเขียว ซึ่งทั้งหมดนี้กำลังผลักดันให้แนวคิดบ้านยั่งยืนกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของตลาดที่อยู่อาศัย
พลังงานกลายเป็นต้นทุนชีวิตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ บ้านที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงาน เช่น บ้านโซลาร์รูฟ หรือบ้านที่ออกแบบให้เย็นโดยธรรมชาติ ช่วยลดค่าไฟได้ถึง 20–60% ต่อปี ส่วนในมิติของสิ่งแวดล้อม การใช้วัสดุก่อสร้างคาร์บอนต่ำและระบบจัดการน้ำ–ของเสียที่ดี สามารถลดการปล่อยคาร์บอนฟุตพรินต์ได้หลายตันต่อปี ขณะเดียวกัน บ้านที่ให้ความสำคัญกับสุขภาวะ เช่น ระบบกรองอากาศ HEPA หรือช่องแสงธรรมชาติที่เหมาะสม ยังช่วยลดปัญหาฝุ่น PM2.5 และเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยให้ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
นายประพันธ์ศักดิ์ระบุว่า บ้านที่ยั่งยืนอยู่สบายจะสร้าง “มูลค่าเพิ่ม” ให้กับทรัพย์สินในระยะยาว ทั้งในด้านเศรษฐกิจและจิตใจ งานวิจัยต่างประเทศชี้ว่า บ้านที่ได้รับการรับรองอาคารเขียว เช่น EDGE หรือ TREES มักขายได้เร็วกว่าโครงการทั่วไปถึง 25% และราคาขายสูงขึ้น 5-10% เพราะผู้บริโภครุ่นใหม่ยอมจ่ายเพื่อคุณค่าที่ยั่งยืนมากกว่าความหรูหราเพียงอย่างเดียว
หัวใจของบ้านยั่งยืนอยู่สบาย คือ “การออกแบบแบบบูรณาการ” ครอบคลุม 6 มิติหลัก ได้แก่
สำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นสู่บ้านยั่งยืน นายประพันธ์ศักดิ์แนะนำว่า ควรเริ่มจากสิ่งที่ทำได้ทันทีหรือ “Quick Wins” เช่น การปรับพฤติกรรมการใช้พลังงาน ตั้งแอร์ที่ 26 องศา ล้างฟิลเตอร์แอร์ เปลี่ยนหลอดไฟ LED หรือซีลช่องรั่วซึมในบ้าน ก็สามารถลดค่าไฟได้ 5-10% ต่อเดือน หากต้องการก้าวต่อไปในระดับกลาง ควรลงทุนกับฉนวนหลังคา กระจก Low-E หรือระบบระบายอากาศ ซึ่งคืนทุนใน 2-4 ปี และในระยะยาวสามารถติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อลดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า 3,000 บาทต่อเดือน
นิยามแนวคิด “บ้านยั่งยืนอยู่สบาย” จึงเปรียบเสมือนการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนทั้งทางเศรษฐกิจ สุขภาพ และคุณภาพชีวิต เพราะในท้ายที่สุด บ้านที่อยู่สบายและยั่งยืน คือบ้านที่สร้างความสุขให้เจ้าของได้ยาวนาน และยังส่งต่อคุณค่าให้กับโลกใบนี้ในเวลาเดียวกัน