KEY
POINTS
ท่ามกลางเศรษฐกิจผันผวน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังเผชิญความท้าทาย จากปัจจัยภายในและภายนอก การร่วมทุนทั้งกลุ่มผู้ประกอบการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งไทย และต่างชาติ หรือร่วมทุนกับเจ้าของที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน มองว่าเป็นเรื่องที่ดี สร้างความแข็งแกร่ง เติมเต็มพอร์ตรายได้ให้กับผู้ประกอบการ ประเมินว่าเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทย
จากการสำรวจของฝ่ายวิจัย “คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย” พบว่าการร่วมทุนกับเจ้าของที่ดินมีให้เห็นหลายรายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพราะมีที่ดินในมือที่ไม่ได้ทำประโยชน์หรือเก็บไว้ และมีภาระเรื่องของภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง การนำที่ดินออกมาใช้ประโยชน์หรือสร้างรายได้จึงเป็นทางออกที่น่าสนใจ ดังนั้น ช่วงหลายปีที่ผ่านมามีการร่วมทุนกันของเจ้าของที่ดิน และผู้ประกอบการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลายรายเช่น
บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) ร่วมทุนกับบริษัท เกษมบัณฑิต จำกัด เจ้าของที่ดินขนาด 34 ไร่ย่านกรุงเทพกรีฑา เพื่อพัฒนาโครงการแกรนด์บริทาเนีย กรุงเทพกรีฑา- ร่มเกล้า มูลค่ารวมของโครงการ 1,500 ล้านบาท ซึ่งบริทาเนียยังมีการร่วมทุนในรูปแบบนี้กับเจ้าของที่ดินอีกกว่า 20 รายทั่วประเทศเพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการซึ่ง ทางบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เองก็มีการร่วมทุนกับบริษัท บุญภา 2020 จำกัด
เพื่อพัฒนาโครงการออริจิ้น สมาร์ท คอมเพล็กซ์ บางนา มูลค่าโครงการรวมกว่า 4,000 ล้านบาทร่วมกัน นอกจากนี้ยังร่วมทุนกับ บริษัท โซเท็ตซึ เรียล เอสเตท จำกัด (โซเท็ตซึ ฟุโดซัง) ในเครือ โซเท็ตซึ กรุ๊ป เพื่อพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรโครงการเบลกราเวีย เอ็กซ์คลูซีฟ ราชพฤกษ์-พระราม 5 มูลค่าโครงการ 1,400 ล้าน ภายใต้บริษัท เบลกราเวีย ราชพฤกษ์ นครอินทร์ จำกัด โดยการตั้งบริษัทร่วมกันด้วยทุนจดทะเบียน 424 ล้านบาทซึ่งทางบริทาเนียถือหุ้นในสัดส่วน 51%
ขณะกลุ่มบริษัทบีทีเอสมีการเข้ามาร่วมทุนกับผู้ประกอบการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลายราย เช่น บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และบริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) โดยการนำที่ดินของกลุ่มบริษัทบีทีเอส มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาโครงการ ซึ่งช่วงที่ผ่านมามีโครงการที่เกิดจากการร่วมทุนแล้วหลายโครงการในกรุงเทพมหานคร
บริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดเล็กอย่างบริษัท เดวา แลนด์ จำกัดก็มีการร่วมทุนกับเจ้าของที่ดินในหลายทำเลเพื่อพัฒนาโครงการบ้านราคาแพงขนาดเล็กจำนวนยูนิตไม่มากด้วยเช่นกัน โดยปัจจุบันมีการร่วมทุนรูปแบบนี้แล้ว 3 โครงการด้วยกัน ถ้าประสบความสำเร็จจะยึดแนวทางนี้ไปแบบต่อเนื่องเช่นกัน
นอกจากนี้ การร่วมทุนในรูปแบบอื่นๆ ที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว เช่น การร่วมกันจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ร่วมกัน ณ ปัจจุบันเป็นเรื่องที่พบเห็นทั่วไปอยู่แล้ว การร่วมทุนในรูปแบบนี้เป็นการร่วมทุนโดยการออกเงินลงทุนคนละ 50% หรือถ้าเป็นบริษัทต่างชาติอาจจะลงทุนในสัดส่วนที่ตํ่ากว่า 50% ซึ่งในปี 2568 มีการร่วมทุนของผู้ประกอบการไทย และต่างชาติที่น่าสนใจ เช่น
บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ขายหุ้นจำนวน 50% มูลค่า 610 ล้านบาทในบริษัท เวอร์ติคอล พระราม 9 อัลไลแอนซ์ 1 จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่เป็นผู้พัฒนาโครงการนิว เอปิค อโศก-พระราม 9 ให้กับบริษัท สเตคเอ็กซ์ เวนเจอร์ส จำกัดซึ่งมีสถานะเป็นบริษัทลูกของบริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จับมือกับบริษัท โบ๊ทพัฒนา จำกัด เพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยร่วมกันที่ภูเก็ต โดยตั้งเป้าจะเป็นการร่วมมือระยะยาว 3 ปี ซึ่งมีแผนจะพัฒนาโครงการรวมมูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท ประเดิมโครงการแรก คือ ซี เธียเตอร์ ราไวย์” วิลล่าหรูที่มีราคาเริ่มต้น 91 ล้านบาทนอกจากนี้ ได้ขายหุ้นในบริษัท เอสซี ซีดี5 จำกัด จำนวน 245,000 หุ้น มูลค่ารวม 12,450,000บาท ให้แก่บริษัท โตเกียว ทาเทโมโนะ (ประเทศไทย) จำกัด
เพื่อร่วมลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในซอยสุขุมวิท 20 โดยในบริษัท เอสซี ซีดี5 จำกัด นั้นทางบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จะถือหุ้นในสัดส่วน 50.99% บุคคลถือหุ้น 0.01% และบริษัท โตเกียว ทาเทโมโนะ (ประเทศไทย) จำกัด ถือหุ้นส่วนที่เหลือ นอกจากนี้ยังมีการร่วมทุนกับโตเกียว ทาเทโมโนะเพื่อพัฒนโครงการคลังสินค้าให้เช่าร่วมกันอีกด้วย รวมไปถึงการเปิดให้บริการโรงแรม ครอโม แบงคอก คิวริโอ คอลเล็กชัน บาย ฮิลตันสุขุมวิท 29 ซึ่งร่วมทุนกับทางไดวะ เฮ้าส์ ด้วย
บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) มีโครงการร่วมทุนกับทางฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ปจากประเทศญี่ปุ่นเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยมาต่อเนื่องหลายปีถึงปัจจุบัน แต่ล่าสุดมีการร่วมทุนกับทางมิตซูบิชิ โลจิสติคส์ คอร์ปอเรชั่น เพื่อพัฒนาอาคารคลังสินค้าให้เช่าขนาดพื้นที่เช่าประมาณ 25,000 ตารางเมตร ด้วยเงินลงทุนประมาณ 600 ล้านบาท บนที่ดินขนาดประมาณ 25 ไร่ ทำเลบางนา กม.23 โดยในระยะยาวอาจจะมีการพัฒนาในภาคอุตสาหกรรมร่วมกันอีกเช่น นิคมอุตสาหกรรม คลังสินค้าสำเร็จรูปให้เช่า โรงงานสำเร็จรูปให้เช่า
การร่วมทุนในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บางคู่ของการร่วมทุนมีการร่วมทุนกันมายาวนาน เช่น บริษัทเอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กับทางมิตซูบิชิ เอสเตทมายาวนานกว่า 12 ปี และยังมีโครงการที่พัฒนาร่วมกันต่อเนื่อง ผู้ประกอบการต่างชาติอีกรายที่อยู่ในตลาดอสังหา ริมทรัพย์ประเทศไทยมานาน คือ มิตซุย ฟูโดซังซึ่งร่วมทุนกับทางบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)
จากนั้นมีการร่วมทุนกับทางบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กลุ่มบริษัทโตคิวก็มีการร่วมทุนกับทางแสนสิริเช่นกัน ยังไม่รวมผู้ประกอบการต่างชาติรายอื่นๆ ที่อาจจะมีการร่วมทุนกันแบบเงียบๆ หรือไม่เปิดเผย รวมไปถึงการร่วมทุนต่อเนื่องกับผู้ประกอบการรายใดรายหนึ่งแบบต่อเนื่องแต่ได้เป็นข่าว แบบที่ทางฮันคิว และมิตซูบิชิทำมาตลอดในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งการร่วมทุนรูปแบบนี้จะเป็นการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่ทุกครั้งที่เปิดขายโครงการใหม่ และฝั่งของผู้ประกอบการไทยจะถือหุ้นในสัดส่วนที่มากกว่าทางผู้ประกอบการต่างชาติเสมอ
หน้า 20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,147 วันที่ 9 -12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568