KEY
POINTS
ในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนแรงงานอิสระในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ในช่วงอายุ 25-35 ปี ที่นิยมทำงานแบบ “ฟรีแลนซ์” หรือ “กิ๊กอีโคโนมี” (Gig Economy) มากขึ้น โดยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่าในไตรมาส 2 ปี 2568 มีผู้ประกอบอาชีพอิสระกว่า 50% ของแรงงานไทยทั้งหมด และมีแนวโน้มเพิ่มต่อเนื่องจากแรงขับของเทคโนโลยีและค่านิยมเรื่องอิสระในการทำงานของคนรุ่นใหม่ ทั้งนี้ คาดว่าปัจจุบันมีแรงงานลักษณะนี้กว่า 4 ล้านคนทั่วประเทศ และส่วนใหญ่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนตั้งแต่ 30,000-70,000 บาท ซึ่งถือเป็นกำลังซื้อใหม่ที่เริ่มมองหาที่อยู่อาศัยเพื่อความมั่นคงในชีวิต
ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์อสังหาริมทรัพย์ไทยในเครือ PropertyGuru Group วิเคราะห์ว่า ปัจจุบันสัดส่วนแรงงานอิสระในไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมีจำนวนมากกว่า 17 ล้านคน หรือราวหนึ่งในสามของกำลังแรงงานทั้งหมด ขณะที่ความต้องการมีบ้านเป็นของตนเองในกลุ่มนี้ก็ขยายตัวตามรายได้ที่มั่นคงขึ้นจากการทำงานออนไลน์และเศรษฐกิจดิจิทัล
แม้กลุ่มฟรีแลนซ์จะมีรายได้ดี แต่ความไม่สม่ำเสมอของรายรับยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขอสินเชื่อบ้านกับสถาบันการเงิน เนื่องจากขาดหลักฐานรายได้ที่ต่อเนื่องและเอกสารทางภาษีที่ครบถ้วน เช่น สลิปเงินเดือน หรือใบรับรองภาษีเงินได้ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการประเมินเครดิตทางการเงินของธนาคาร
โดยจากการสำรวจของ DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study พบว่า 56% ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่า รายได้ไม่มั่นคง คืออุปสรรคหลักในการกู้บ้าน รองลงมาคือประวัติทางการเงินไม่ดี (41%) และภาระหนี้สูงเกินรายได้ (30%) ดังนั้น ผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของบ้านในฐานะฟรีแลนซ์จึงจำเป็นต้อง “วางแผนการเงินอย่างมีระบบ” เพื่อให้ธนาคารมั่นใจในความสามารถชำระหนี้ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มล่าสุดเริ่มเห็นสัญญาณบวก เพราะสถาบันการเงินหลายแห่งเริ่มผ่อนปรนเกณฑ์ประเมินรายได้ พร้อมเปิดสินเชื่อเฉพาะกลุ่มแรงงานอิสระมากขึ้น
นายสกลธี จันทร์พรหม ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย เปิดเผยว่า กลุ่มฟรีแลนซ์มีศักยภาพสูงในการเป็นเจ้าของบ้าน หากสามารถจัดการวางแผนการเงินและสร้างความน่าเชื่อถือทางเครดิตได้อย่างถูกวิธี โดยได้รวบรวม “7 กลยุทธ์สำคัญ” สำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระที่อยากมีบ้านไว้ดังนี้
คำนวณรายได้เฉลี่ยต่อเดือนจากการยื่นภาษีในปีก่อนหน้า แล้วนำมาคำนวณภาระหนี้ไม่เกิน 40% ของรายได้ต่อเดือน เพื่อกำหนดงบซื้อบ้านที่เหมาะสม
จัดเก็บเอกสารแสดงอาชีพ เช่น สัญญาว่าจ้าง ผลงานย้อนหลัง หรือใบประกอบวิชาชีพ เพื่อยืนยันรายได้และความต่อเนื่องในการทำงาน
เริ่มออมเงินเพื่อเป็นเงินดาวน์ 10-30% ของมูลค่าบ้าน และมีเงินสำรองไว้อย่างน้อย 6 เดือน ช่วยเสริมภาพลักษณ์ด้านวินัยทางการเงิน
เอกสารภาษี (ภ.ง.ด.90/94) และใบ 50 ทวิ ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่ช่วยให้ธนาคารเห็นรายได้ถูกต้องตามกฎหมายและตรวจสอบได้
ใช้บัญชีหลักเพียงบัญชีเดียวในการรับรายได้ โอนเงินเข้าออกสม่ำเสมอ และรักษายอดคงเหลือในบัญชีเพื่อสะท้อนสภาพคล่องทางการเงิน
ธนาคารตรวจสอบเครดิตบูโรย้อนหลัง 3 ปี ผู้กู้จึงควรรักษาประวัติการผ่อนชำระตรงเวลา และหลีกเลี่ยงภาระหนี้สินส่วนเกิน
การกู้ร่วมกับบุคคลที่มีรายได้ประจำ เช่น คู่สมรสหรือญาติ ช่วยเพิ่มความมั่นคงของรายได้และขยายวงเงินกู้ได้สูงขึ้น
ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการอสังหาฯ เริ่มให้ความสำคัญกับตลาดแรงงานอิสระมากขึ้น โดยพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบยืดหยุ่น เช่น บ้านที่สามารถปรับเป็นพื้นที่ทำงานร่วมได้ หรือคอนโดที่มีโซนโคเวิร์กกิ้งสเปซ เพื่อรองรับเทรนด์ “Work from Anywhere” ที่ยังคงอยู่ในชีวิตประจำวันของคนรุ่นใหม่
แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ตลาดที่อยู่อาศัยไทยกำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่านสำคัญ จากเดิมที่กลุ่มผู้ซื้อหลักคือพนักงานประจำ สู่ตลาดใหม่ของแรงงานอิสระที่มีศักยภาพสูง ทั้งในด้านรายได้ ความคิดสร้างสรรค์ และรูปแบบการใช้ชีวิต ซึ่งนับเป็น “โอกาสทอง” ของผู้พัฒนาอสังหาฯ และสถาบันการเงินในการปรับตัวเพื่อรองรับดีมานด์กลุ่มใหม่นี้ในอนาคต