SCX Corporation ในเครือบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กำลังขยับสู่จังหวะใหม่ของการเติบโต ด้วยการขยายฐานรายได้ประจำ (Recurring Income) อย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างโครงสร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว โดยมีเป้าหมายให้สัดส่วนรายได้ประจำเพิ่มขึ้นเป็น 25% ของรายได้รวมของ SC Asset ภายใน 3 ปี จากระดับปัจจุบันที่ราว 17-18% ซึ่งถือว่าเติบโตเร็วกว่าที่วางแผนไว้เดิม
นายรชฎ นันทขว้าง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีเอ็กซ์ คอร์ปอเรชัน จำกัด (SCX Corporation) เปิดเผยว่า กลยุทธ์ของ SCX คือการสร้าง “เครื่องยนต์ใหม่” ให้ SC Asset ภายใต้แนวคิด Engine 2 โดยใช้สามเสาหลักคือ อาคารสำนักงาน คลังสินค้า และโรงแรม เพื่อสร้างรายได้หมุนเวียนที่ไม่ขึ้นกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ
“เรามองการสร้างรายได้ประจำไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลข แต่คือการวางโครงสร้างธุรกิจที่แข็งแรงพอจะรองรับทุกสภาวะเศรษฐกิจ การขยายพอร์ตของ SCX ในวันนี้จึงไม่ใช่แค่เพิ่มสินทรัพย์ แต่คือการเพิ่มคุณภาพของกระแสรายได้ในระยะยาว” นายรชฎกล่าว
ในเชิงการลงทุน SCX ใช้แนวทางร่วมทุน (Joint Venture) กับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อแบ่งภาระเงินลงทุนและเพิ่มความคล่องตัว โดยมุ่งถือหุ้นในสัดส่วนมากกว่า 50% ในหลายโครงการเพื่อรักษาการควบคุม แต่ก็พร้อมยืดหยุ่นตามความเหมาะสมของแต่ละโปรเจ็กต์
นอกจากนี้ยังใช้กลยุทธ์ Asset Recycling หรือการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนหลังเปิดดำเนินการราว 3 ปี เพื่อดึงเงินกลับมาลงทุนในโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นการ “หมุนทุนให้เกิดผลซํ้า” ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถขยายพอร์ตได้โดยไม่เพิ่มภาระหนี้สินมากเกินไป
นายรชฎระบุว่า “โมเดลร่วมทุนและ Asset Recycling ทำให้เราสามารถเร่งการเติบโตได้แบบยั่งยืน SCX ไม่ได้ต้องการขยายเฉพาะจำนวนโครงการ แต่ต้องการสร้างระบบธุรกิจที่ขับเคลื่อนตัวเองได้ในระยะยาว”
กลยุทธ์อีกด้านคือการเน้นลงทุนใน โครงการประเภท Brownfield หรือการซื้อและปรับปรุงโครงการที่มีอยู่แล้ว เนื่องจากสามารถรับรู้รายได้ภายในราว 1 ปี ขณะที่โครงการ Greenfield หรือโครงการสร้างใหม่ต้องใช้เวลาราว 3 ปี ทำให้ Brownfield เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ทั้งในแง่ความเร็วและผลตอบแทน
ธุรกิจคลังสินค้าให้เช่าถือเป็นอีกหัวใจของ Engine 2 โดย SCX ตั้งเป้าขยายพื้นที่ให้เช่ารวม 150,000 ตารางเมตรภายในปีนี้ ซึ่งเป็นไปตามแผนตั้งแต่ต้นปี และมีอัตราการเช่าเกือบเต็ม 90% พร้อมตั้งเป้าขยายเพิ่มปีละ 100,000 ตารางเมตร โดยเน้นทำเลศักยภาพอย่างบางนา บางพลีและพื้นที่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของประเทศ ทั้งนี้ ราว 40% ของพื้นที่คลังสินค้าสามารถปรับใช้เป็นโรงงานให้เช่าได้ด้วย
ส่วนธุรกิจอาคารสำนักงาน ซึ่งปัจจุบันมีอาคารในพอร์ต 4 แห่ง รวมพื้นที่กว่า 120,000 ตารางเมตร ยังคงมีอัตราเข้าใช้สูงกว่า 90% บริษัทเน้นรักษาระดับการเช่าที่มั่นคง โดยสัญญาส่วนใหญ่เป็นระยะยาว 3-10 ปี และจะพิจารณาขยายการลงทุนเพิ่มเติมเมื่อภาพรวมตลาดออฟฟิศกลับมาฟื้นตัวเต็มที่
หนึ่งในธุรกิจที่ SCX ให้ความสำคัญสูงสุดคือกลุ่มโรงแรม (Hospitality Business) ซึ่งถูกวางให้เป็นธุรกิจหลักในการสร้างแบรนด์และรายได้ประจำ ผ่านแนวคิด Lifestyle Hospitality ที่มุ่งสร้างประสบการณ์เฉพาะตัวให้ลูกค้า โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นนักท่องเที่ยว FIT (Free Independent Traveler) ประมาณ 70% และลูกค้าองค์กรกลุ่ม MICE อีกราว 30% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้าระดับพรีเมียมจากญี่ปุ่น ยุโรป สิงคโปร์ มาเลเซีย อินเดีย จีน และฮ่องกง
นายรชฎกล่าวว่า “กลยุทธ์ของเราคือสร้างแบรนด์โรงแรมที่สื่อสารกับกลุ่มนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง เรามองว่าประสบการณ์การพักผ่อนจะกลายเป็นตัวสร้างมูลค่าในระยะยาว มากกว่าการแข่งขันด้วยราคา”
ปัจจุบัน SCX มีห้องพักภายใต้การบริหารกว่า 1,200 ห้อง และตั้งเป้าขยายเป็น 2,000 ห้องในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยเน้นทำเลกรุงเทพฯ พัทยา และภูเก็ต โดยล่าสุด SCX เพิ่งเปิดตัว The Standard, Pattaya Na Jomtien ซึ่งเป็นรีสอร์ตไลฟ์สไตล์ระดับโลกจำนวน 161 ห้อง พัฒนาโดยร่วมทุนกับบริษัท ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SYNTEC และได้รับการตอบรับดีเกินคาด ยอดจองล่วงหน้าเต็มยาวข้ามปี
พร้อมกันนี้ SCX ยังเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ในกรุงเทพฯ ภายใต้แบรนด์ voco Bangkok Siam โรงแรมไลฟ์สไตล์แห่งใหม่ภายใต้ความร่วมมือกับกลุ่ม IHG Hotels & Resorts มีจำนวน 350 ห้อง คาดว่าจะเปิดให้บริการภายในปี 2572 ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งแบรนด์สำคัญในพอร์ต Hospitality ของ SCX
“Engine 2 ของ SCX จะเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้ SC Asset ขับเคลื่อนได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว เราไม่ได้แค่สร้างโครงการ แต่กำลังสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจที่เติบโตได้ด้วยตัวเอง” นายรชฎ กล่าวสรุป
หน้า 20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,142 วันที่ 23 - 25 ตุลาคม พ.ศ. 2568