KEY
POINTS
จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ (Jin wellbeing County) อาณาจักรที่อยู่อาศัยเชิงสุขภาพบนทำเลศักยภาพ ถนนวิภาวดี-รังสิตแลนด์มาร์ก สำคัญทางตอนเหนือของกรุงเทพมหานคร พัฒนาโดย บริษัท ธนบุรี เวลบีอิ้ง จำกัด เครือบริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG
ย้อนไปก่อนหน้านี้ จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ถูกกำหนดให้เป็นโครงการมิกซ์ยูสรองรับกลุ่มคนผู้สูงวัยโดยมีโรงพยาบาลเป็นจุดขาย ภายใต้การมองการณ์ไกลของ นายแพทย์บุญ วนาสิน ฐานะผู้ก่อตั้งฯ ในขณะนั้น ที่ประเมินว่าประเทศไทย กำลังเข้าสู่ Aging Society จึงวางบทบาท ให้เป็นโครงการดูแลผู้สูงอายุมีความแตกต่างจากการดูแลคนปกติทั่วไป หรือเปรียบเสมือนบ้านพักคนชราแต่แล้วเทรนด์ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเพราะต่างฝ่ายต่างมองว่าไม่ใช่คนสูงวัย
เมื่อเทรนด์ผู้บริโภคเปลี่ยน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังสถานการณ์โควิด-19 ประกอบกับกลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงได้เข้ามาถือหุ้นใหญ่ ส่งผลให้สถานะทางการเงินของ THG แข็งแกร่งยิ่งขึ้น จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ จึงมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ
นายพีรพงษ์ พีระโชติวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ธนบุรี เวลบีอิ้ง จำกัด ให้สัมภาษณ์ว่า บริษัทได้ปรับกลยุทธ์และภาพลักษณ์ใหม่จากเดิมที่เน้นการสื่อสารสำหรับกลุ่มผู้สูงวัย ไปสู่การเป็น “เวลเนส เรสซิเดนซ์” เพื่อตอบรับกระแสเมกะเทรนด์ด้านสุขภาพที่กำลังเติบโต
การปรับภาพลักษณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่โครงการมีการประเมินและวิเคราะห์ตลาดอย่างถี่ถ้วน โดยพบว่า แม้โครงการจะถูกออกแบบมาเพื่อรองรับผู้สูงวัยในอดีต แต่คุณสมบัติพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีอยู่แล้วนั้นตอบโจทย์ผู้ที่ใส่ใจสุขภาพทุกเพศทุกวัยได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยประเมินว่าปัจจุบันโครงการมีความพร้อมและได้มาตรฐานที่สุดในประเทศไทยในการเป็น “เวลเนส เรสซิเดนซ์”
หัวใจสำคัญของการปรับกลยุทธ์และการสร้างความเชื่อมั่นในปัจจุบัน คือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ใน THG โดย กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง ได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 49.99% อย่างเป็นทางการในปีนี้(2568) โดยมีการเพิ่มทุนรวมกว่า 5,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกันยังชูจุดแข็งด้านการดูแลสุขภาพอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นจุดที่โครงการอื่นในตลาดไม่สามารถเทียบได้ ทั้ง โรงพยาบาลเฉพาะทางเต็มรูปแบบ ภายในโครงการมี โรงพยาบาลธนบุรีบูรณา ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางสำหรับผู้สูงวัยขนาด 55 เตียง
ที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นโรงพยาบาลจริง ดูแลเหตุฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที ด้วยมาตรฐานการตอบสนองจากแผนก ER ของโรงพยาบาล ไปยังห้องพักที่ไกลที่สุดและสูงที่สุดได้ภายในเวลา ไม่เกิน 4 นาที โดยมีการซ้อมปฏิบัติการทุกวัน ภายในอาคารคอนโดมิเนียมมีลิฟต์พิเศษ เพื่อรองรับการเคลื่อนย้ายฉุกเฉินด้วยเปลพยาบาลได้ทันที การออกแบบรองรับอารยสถาปัตย์(Universal Design) 100%เป็นต้น
สำหรับโครงการเฟสแรกเป็นคอนโดมิเนียม โลว์ไรส์ จำนวน 494 ห้อง ปัจจุบัน ขายแล้ว60% หรือกว่า 200 ห้อง โดยมีอัตราการเข้าพักจริงอยู่ที่ประมาณ 30-35%ของห้องพักทั้งหมดส่วนกลุ่มที่ยังไม่เข้าพักส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนและกลุ่มรอเกษียณจากต่างประเทศ ขณะราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 100,000 บาทต่อตารางเมตร
จากราคาเปิดตัวอยู่ที่ 125,000 บาทต่อตารางเมตร มองว่าได้เปรียบเมื่อเทียบ กับทำเลเดียวกัน และการดูแลที่ครบวงจร โดยขนาดหัองเล็กอยู่ที่ 43-46 ตารางเมตรราคา 4.59 ล้านบาท โดยมีแคมเปญพิเศษอยู่ที่ 3.79 ล้านบาท ขณะห้องใหญ่ 60 ตารางเมตรราคา 7.59 ล้านบาท ราคาพิเศษ อยู่ที่ 6.59 ล้านบาท
“บริษัท มีแคมเปญกระตุ้นยอดขายเพื่อเร่งยอดขายให้หมดเฟสแรก ทางโครงการได้ออกโปรโมชันลดราคาพิเศษถึงสิ้นปีนี้ ห้องใหญ่ 63 ตารางเมตร ลด 2 ล้านบาท จากราคาเริ่มต้นประมาณ 7 ล้านบาท เหลือประมาณ 5 ล้านกลางๆ ห้องเล็ก 43 ตารางเมตร ลด 1 ล้านบาท จากราคาเริ่มต้นประมาณ 4-5 ล้านบาท เหลือประมาณ 3 ล้านบาทปลายๆ ถึง 4 ล้านต้นๆ โดยตั้งเป้าขายให้ได้ เกิน 20 ยูนิต ก่อนสิ้นปี และต้องการปิดการขายเฟสแรกทั้งหมดให้ได้ภายในปีหน้า”
จากความได้เปรียบ โครงการตั้งอยู่บนพื้นที่รวม 142 ไร่ ซึ่งมีที่ดินรอการพัฒนารองรับการเติบโตในทำเลรังสิต จากถนนวิภาวดีจรดเขตทางรถไฟ ซึ่งถือเป็นหัวเมืองที่มีศักยภาพสูง (Golden Link) รายล้อมไปด้วยสถานศึกษา โรงพยาบาล ที่อยู่อาศัยชั้นนำ และเป็นพื้นที่เดียวที่สามารถเชื่อมต่อจากถนนด้านหน้า ถนนวิภาวดี ทะลุออกด้านหลัง ซึ่งเป็นบริเวณทางรถไฟ ที่จะเป็นส่วนต่อขยาย รถไฟฟ้าสายสีแดง
โครงการมั่นใจว่าทำเลจะได้รับการพัฒนาอย่างมากเมื่อมีการขยายรถไฟฟ้าสายสีแดงไปยัง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต เนื่องจากจะทำให้เกิดถนนโลคัลโรด ซึ่งที่ทำหน้าที่เป็นถนนรองหรือถนนย่อยเลียบขนานไปกับถนนสายหลักและ แนวรถไฟซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกในการเดินทาง
สำหรับแผนพัฒนาโครงการแบ่งเป็นหลายเฟส อาทิ ที่ดิน 20 ไร่ติดถนนวางแผนพัฒนาโรงพยาบาลธนบุรี รังสิต (อยู่ระหว่างการพัฒนา) แปลงถัดมา 20 ไร่คือส่วนที่พัฒนาแล้วในขณะนี้ ขณะที่แปลงอื่นเตรียมต่อยอดเป็นคอนโดมิเนียมสำหรับครอบครัว และบ้านเดี่ยว เพื่อสร้าง ระบบนิเวศที่เกื้อหนุนกันในระยะยาว
นายพีรพงษ์ ประเมินว่าการลงทุนในเฟสถัดไป จะขึ้นอยู่กับความพร้อมและสถานการณ์เศรษฐกิจ ที่สำคัญแผลพัฒนาในอนาคต จะเปิดกว้างสำหรับนักลงทุนและกลุ่มทุน โดยไม่จำกัดสัญชาติ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการดึง นักพัฒนามืออาชีพ เข้ามาบริหารจัดการ เนื่องจากยอมรับว่าการพัฒนาเฟสแรกนั้นใส่ใจคุณภาพสูงสุด แต่ยังขาดความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและทำการตลาด
ขณะเป้าหมายการดึงกลุ่มลูกค้าเข้าพื้นที่โครงการ ล่าสุดบริษัทเตรียมขยายตลาดไปยังต่างประเทศอย่างจริงจังในปีหน้า (2569) ผ่านการทำโรดโชว์โดยเน้นตลาดที่มีค่าครองชีพสูงและมองหาที่พักเพื่อเกษียณที่มีคุณภาพ อาทิ สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ และฮ่องกง ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนลูกค้าต่างชาติจากปัจจุบัน 5-6% ให้เป็น 20-25% ในปีแรก
อย่างไรก็ตาม แม้การแข่งขันในตลาด เวลเนส เรสซิเดนซ์ จะสูงแต่ มองว่าบริษัทมีความพร้อมและเป็นผู้มีประสบการณ์ดำเนินโครงการในรูปแบบดังกล่าวครบครันที่สุดในไทย โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคู่แข่งในทำเลเดียวกันที่ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 70,000 บาทต่อตารางเมตร
โครงการของ จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ที่ราคา 100,000 บาทต่อตารางเมตร แต่มีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านสุขภาพและการดูแลฉุกเฉินที่เป็นมาตรฐานโรงพยาบาล ถือว่าคุ้มค่า โดยมูลค่าลงทุนของโครงการเฟสแรก ที่ดิน, อาคาร, โรงพยาบาล อยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท ประเมินว่าจะเป็นศูนย์กลางการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบสำหรับคนทุกเพศวัยอย่างแท้จริง สำหรับ จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้
หน้า20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,138 วันที่ 9 - 11 ตุลาคม พ.ศ. 2568