KEY
POINTS
ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงของตลาดอสังหาริมทรัพย์ และความท้าทายรอบด้าน ผู้ประกอบการรายใหญ่และรายเล็กต่างชะลอการเปิดตัวโครงการเพื่อรอดูสถานการณ์ ในทางกลับกัน บริษัท ปรีดา เรียลเอสเตท จำกัด เครือปรีดา กรุ๊ป สร้างความท้ายเปิดตัวโครงการ มิกซ์ยูส “โซลเลซ พหลฯ–ประดิพัทธ์”
หนึ่งเดียวบนที่ดินผืนศักยภาพทำเลใจกลางเมือง ใกล้สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ศูนย์กลางการเดินทางระบบรางของไทย เชื่อมการเดินทางเข้าสู่กรุงเทพฯชั้นในได้อย่างสะดวกรวดเร็ว รวมถึงทางพิเศษ (ทางด่วน) ที่ประเมินว่าจะเป็นอีกทำเลที่สร้างความได้เปรียบของการอยู่อาศัย แหล่งงาน รวมถึงการช้อปปิ้งในอนาคตอันใกล้ ที่จะเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ ยกระดับเทียบชั้นย่านสาทร-สีลมอย่างไม่ยากเย็นนัก
“ฐานเศรษฐกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ สองพี่น้อง ทายาทรุ่นที่ 3 ตระกูล ปรีดานนท์ นายปิติพัฒน์ ปรีดานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ นางสาวปิยะฉัตร ปรีดานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปรีดา เรียลเอสเตท จำกัด บริษัทผู้มีประสบการณ์ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ สืบทอดธุรกิจมาอย่างยาวนาน 63 ปี ภายใต้ปรีดา ปรุ๊ป ซึ่งมีบริษัทหลากหลายในการให้บริการ โดยอธิบายว่า ธุรกิจครอบครัวมี 3 รุ่น
มีจุดเริ่มต้นธุรกิจมาจาก รุ่นคุณปู่ ที่เป็นช่างไม้มาจากเมืองจีนและได้รับโอกาสได้ทำงานในวังและรุ่นคุณพ่อได้ศึกษาต่อเป็นวิศวกรและสร้างบริษัทรับเหมาก่อสร้างของตนเอง โดยมีผลงานรับใช้ในวังและวัด ในเวลาต่อมา ได้เปลี่ยนจากผู้รับเหมาสู่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เริ่มจาก อพาร์ตเมนต์ และทาวน์โฮม
รวมถึง เคยสร้างคอนโดมิเนียม บางแคซิตี้ ในยุควิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ซึ่งระยะแรกได้ปล่อยเช่าและต่อมาได้นำกลับมาปรับปรุงขายใหม่ การสร้างแบรนด์ โครงการแรกที่พัฒนาเองชื่อ “บ้านสามเสน คอนโดมิเนียม” ต่อมาได้สร้างแบรนด์ “Greene Condo” (จากคำว่า “Green”) เพื่อสื่อถึงคอนเซ็ปต์การเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ
เมื่อสถานการณ์การใช้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไป ตลาดที่อยู่อาศัยปรับรูปแบบใหม่และท้าทายมากขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง ทั้งการออกแบบที่ทันสมัย การให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม อาคารประหยัดพลังงาน การสร้างความยั่งยืนระยะยาว จึงพัฒนา โซลเลซ พหลฯ- ประดิพัทธ์ สูง 50 ชั้น 524 ยูนิต
นับเป็นมิกซ์ยูสโครงการแรกของบริษัท มูลค่า3,200 ล้านบาท หนึ่งในทำเลที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วเป็นที่จับตามองของนักลงทุนและผู้อยู่อาศัยรุ่นใหม่ ภายใต้แนวคิด “โลกความสุขแนวตั้งที่ครบที่สุด : Live Worldticle Life” รวมถึงการออกแบบรองรับมาตรฐานความปลอดภัยของโครงการแผ่นดินไหวสูงสุด 8 ริกเตอร์ ล่าสุดมีความคืบหน้าด้านงานก่อสร้างกว่า 35% พร้อมเดินหน้าสู่การส่งมอบภายในเดือนกันยายน 2569
นายปิติพัฒน์ และนางสาวปิยะฉัตร สะท้อนกลยุทธ์ สำคัญในการขับเคลื่อนโครงการและธุรกิจให้เติบโตภายใต้สภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ แม้ในระยะที่ผ่านมาตลาดจะเงียบ แต่โครงการยังคงมียอดขายอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่ามาจาก คุณภาพและราคา ที่เข้าถึงได้ โดยให้คุณภาพที่ดีเกินราคา และมีราคาที่ผู้คนสามารถจับต้องได้ การเน้นพื้นที่ส่วนกลางและทำเลโครงการเน้นการให้พื้นที่ส่วนกลางที่มีขนาดใหญ่มาก เมื่อเทียบกับคู่แข่งในพื้นที่ใกล้เคียง
โดยมองว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คือเรื่องของทำเลที่ตั้งพื้นที่โครงการมีศักยภาพสูง จึงเลือกพัฒนาเป็นมิกซ์ยูสทั้งสำหรับที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน และร้านค้า ขณะที่ความได้เปรียบด้านราคาและที่ตั้ง แม้จะอยู่ห่างจากเส้นรถไฟฟ้าหลักเล็กน้อย แต่ทำให้ราคามีความสามารถในการแข่งขันสูงกว่าโครงการที่ติดถนนสายหลักและยังมีการจัดรถรับส่งไปยังสถานีรถไฟฟ้า ที่จุดเด่นของโครงการตั้งอยู่ตรงกลางที่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ง่าย ทั้งรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ สถานีบางซื่อ หรือเดินทางด้วยรถยนต์ขึ้นลงทางด่วนได้สะดวก
“ทำเลมีศักยภาพในระยะยาว พื้นที่นี้มีเสน่ห์จากการเป็นแหล่งชุมชนเก่าแก่ที่มีของกินอร่อย เช่น อารีย์ สะพานควาย ศรีย่าน และราชวัตร นอกจากนี้ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ยังเป็น ศูนย์กลางการเดินทาง ทั้งในปัจจุบันและอนาคต เชื่อว่าพื้นที่นี้มีศักยภาพสูงมาก เปรียบเสมือนหัวลำโพงเมื่อ 100 ปีที่แล้ว และจะกลายเป็นเหมือนสีลม-สาทรในอนาคต”
ย้อนไปก่อนหน้านี้บริษัทได้มองหาที่ดินในบริเวณนี้มานาน 10 ปี หรือประมาณปี2558 ตั้งแต่ภาครัฐมีการวางแผนก่อสร้างสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ โดยรวมแปลงที่ดินได้จำนวน 4ไร่ ในราคา 450 ล้านบาทซึ่งเป็น อาคารเก่าที่เป็นห้องแถว ปัจจุบันราคาประเมินของที่ดินแปลงนี้เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 700 กว่าล้านบาท ซึ่งถือว่ามีกำไรจากการขายที่ดินแล้ว
แม้จะยังไม่ได้สร้างในทันทีจากการชะลอโครงการ เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19แต่ได้ยื่นขออีไอเอไว้ ถือเป็นข้อดี ทำให้ผู้คนรู้จักสถานีกลางบางซื่อมากขึ้นจากการเป็นศูนย์ฉีดวัคซีน และพฤติกรรมผู้บริโภคหลังโควิด-19 ที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การส่งของ การทำกิจกรรมที่บ้านมากขึ้น ทำให้บริษัทได้ ปรับปรุงฟังก์ชันของพื้นที่ส่วนกลาง ให้ตอบรับกับความต้องการในปัจจุบันและอนาคต
ขณะที่ความแตกต่างจากคู่แข่งขนาดห้อง โครงการเน้นห้องขนาดใหญ่ โดยมีขนาดหลักที่ 34.5 ตร.ม. ซึ่งใหญ่กว่าห้องของคู่แข่งที่มักเป็น 25-28 ตร.ม. ในราคาเริ่มต้นที่ใกล้เคียงกัน พื้นที่ที่เพิ่มขึ้น 6 ตร.ม. นี้ถือเป็นพื้นที่ใช้สอยที่ลูกค้าสามารถใช้งานได้จริง ทำให้เหมาะสำหรับ ครอบครัวเริ่มต้น ที่อาจมีบุตรน้อย และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รองรับกิจกรรมของครอบครัวจุดเด่น ที่จอดรถ ที่ให้มากถึงถึง 64% ซึ่งสูงกว่าโครงการทั่วไปที่มักไม่ถึง 50% หรือตามกฎหมายที่ 30-40% โดยใช้ระบบจอดรถแบบผสมผสาน ทั้งแบบที่จอดรถปกติทั่วไป 9 ชั้น และ Automatic Parking เพิ่มอีก 120 คัน แม้จะมีต้นทุนสูง
การออกแบบมีจำนวนยูนิตไม่มาก มีทางเดินด้านเดียว ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัว ลดเสียงรบกวน และเพิ่มความปลอดภัย มีการนำแนวคิด Green Building มาใช้ ซึ่งเป็นเรื่องใหม่สำหรับคอนโดมิเนียมในไทย สิ่งที่ภูมิใจและเป็นแม่เหล็กการันตี คือ โครงการได้รับรางวัลจากเวทีระดับสากล ได้แก่ International Property Award ซึ่งจัดมานานกว่า 30 ปี และในปีนี้ยังได้รับรางวัล 5-star ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดในประเภทนั้น และยังได้เป็น 1 ใน 3 ตัวแทนจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ร่วมกับสิงคโปร์และฮ่องกง) เพื่อไปแข่งขันในระดับโลก รางวัลเหล่านี้ได้มาด้วยคุณภาพของโครงการจริง ๆ ไม่ได้มาจากการซื้อ
นอกจากนี้ยังได้รับรางวัล Thailand Property Award สาขา Best Mid-End Condo ซึ่งสะท้อนว่าโครงการให้คุณภาพเทียบเท่า Luxury แต่มีราคาอยู่ในระดับ Mid-End ที่ลูกค้าจับต้องได้ ที่ประมาณ 1.1-1.2 แสนบาทต่อตารางเมตร ที่มากไปกว่านั้นยังให้ความสำคัญ ด้านดูแลหลังการขาย นิติบุคคลภายในอาคารเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าเนื่องจากบริษัทมีแผนย้ายสำนักงานและการอยู่อาศัยมาที่โครงการดังกล่าวด้วยเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามองค์ประกอบที่สมบูรณ์เหล่านี้ ทำให้บริษัทสามารถสร้างความแตกต่างในตลาดอสังหา ริมทรัพย์ได้ โดยไม่เน้นการแข่งขันด้วยราคา แต่เน้นคุณภาพ ความซื่อสัตย์ และการดูแลลูกค้าอย่างจริงใจ ซึ่งเป็นแนวทางที่สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น ได้อย่างแท้จริงสำหรับ “ปรีดา เรียลเอสเตท”
หน้า 20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,130 วันที่ 11 - 13 กันยายน พ.ศ. 2568