โครงการ “THE RESIDENCES 38” มูลค่า 5,000 ล้านบาท กลายเป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์หรูใจกลางกรุงเทพฯ ที่น่าจับตามอง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงพลังซื้อของกลุ่มทุนต่างชาติและนักลงทุนรายได้สูง แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะยังชะลอตัว แต่ดีมานด์ในตลาดอัลตร้าลักชัวรีกลับยังคงแข็งแรง และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว
โครงการนี้พัฒนาโดย บริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ในเครือบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ฯ ร่วมกับ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) แบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ได้แก่ คอนโดมิเนียมหรู ราคาเริ่มต้น 22.9 ล้านบาท สูงสุด 246 ล้านบาท และ เซอร์วิสเรสซิเดนซ์ “La Clef Bangkok by The Crest Collection” บริหารโดย The Ascott Limited จำนวน 115 ยูนิต ราคาเช่าเริ่มต้นราว 100,000 บาทต่อเดือน รวมมูลค่าโครงการประมาณ 5,000 ล้านบาท
นายกวิน กาญจนพาสน์ กรรมการบริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บีทีเอส กรุ๊ปฯ และประธานกรรมการบริหาร แรบบิท โฮลดิ้งส์ มองว่า จุดเด่นของโครงการนี้ไม่ใช่เพียงทำเลสุขุมวิท 38 ที่หายาก แต่คือการสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยที่แตกต่าง เช่น การนำ Fine Dining Private Kitchen โดยเชฟมิชลินเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ทำให้ที่อยู่อาศัยไม่ใช่แค่ที่พัก แต่เป็นพื้นที่แห่งไลฟ์สไตล์ระดับโลก
นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อนันดาฯ ชี้ว่า สุขุมวิท 38 เป็น Rare Location ใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่งโครงการนี้ถูกออกแบบโดยสถาปนิกระดับโลก Antonio Citterio ผสานศิลปะสไตล์ฝรั่งเศสเข้ากับความเป็นไทย และเติมเต็มด้วยภูมิสถาปัตย์สีเขียว โดยเป้าหมายไม่ใช่แค่การขายคอนโด แต่คือการสร้าง “ประสบการณ์ชีวิตครบวงจร” ให้กับผู้ซื้อ
ด้านเซอร์วิสเรสซิเดนซ์ นายคณิต แสงมุกดา ผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทยและลาว The Ascott Limited ระบุว่า La Clef Bangkok by The Crest Collection ถูกออกแบบเพื่อตอบโจทย์ผู้เข้าพักระยะยาว โดยเฉพาะผู้บริหารและชาวต่างชาติที่มาทำงานในไทย ความแตกต่างคือการผสมผสานเอกลักษณ์ฝรั่งเศสกับการบริการระดับพรีเมียม เช่น ออนเซ็น ฟิตเนส และเลานจ์ส่วนตัว
ในด้านการขาย นายชิณทัต ศิริชนะชัย Head of Christie’s International Real Estate Thailand ในบทบาทการเป็นโซลเอเจนท์การขายของโครงการ เปิดเผยว่า ห้องขนาดใหญ่ 3-4 ห้องนอน และเพนท์เฮาส์ เป็นยูนิตที่ได้รับความสนใจสูงสุด เช่น ห้องแบบ 3 ห้องนอนทั้งหมดถูกปิดการขายหมดในเวลาเพียง 2 เดือน
ส่วนเพนท์เฮาส์ขนาดกว่า 400 ตารางเมตร ราคา 246 ล้านบาท มีผู้เข้าชมต่อเนื่อง เขายํ้าว่าลูกค้ากว่า 80% เป็นชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจากไต้หวัน ญี่ปุ่น และอินเดีย เป็นกลุ่มครอบครัวที่ต้องการย้ายถิ่นฐานมาทำงาน หรือเกษียณในไทย ซึ่งสะท้อนความต้องกันต้องการอยู่อาศัยจริง มากกว่าการลงทุนระยะสั้น
ทั้งนี้ แม้จะเห็นพ้องต้องกันว่า จำนวนเศรษฐีในตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับหรูนั้นมีจำกัดและเป็นกลุ่มเฉพาะ แต่ดีมานด์นั้นยังไม่ได้หายไปทั้งหมด โดยบีทีเอส กรุ๊ปฯ มองว่า กลุ่มเศรษฐีเป็นฐานลูกค้าที่มั่นคงและไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจเท่ากับตลาดทั่วไป การเลือกลงทุนในโครงการอัลตร้าลักชัวรีจึงเป็นการเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้ออย่างแน่นอน
ในขณะที่นายคณิต เสริมว่า ในตลาดเช่าระยะยาว ลูกค้ากลุ่มนี้ยังคงมีความต้องการสูง โดยเฉพาะผู้บริหารและนักลงทุนชาวต่างชาติที่ต้องการที่พักพร้อมบริการครบวงจร ด้านนายชิณทัต ระบุว่า แม้กลุ่มผู้ซื้อระดับไฮเอนด์แม้จะมีจำนวนไม่มากนัก แต่มีศักยภาพในการซื้อสูงและยังคงมองหาที่อยู่อาศัยจริง บ้านหลังที่สอง รวมถึงการลงทุนอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโครงการสามารถเข้าถึงลูกค้าจาก ต่างประเทศผ่านเครือข่ายระดับโลกของคริสตี้ส์ได้
อย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจภาพรวมยังชะลอตัว แต่นายชิณทัตมองว่า ตลาดอัลตร้าลักชัวรีได้รับผลกระทบน้อยที่สุด เพราะลูกค้ากลุ่มนี้ไม่ได้พึ่งพารายได้จากเงินเดือน แต่ส่วนใหญ่เป็นเจ้าของธุรกิจ มีสินทรัพย์และอำนาจการใช้จ่ายสูง
เพียงแต่สถาณการณ์ปัจจุบันทำให้มีการต่อรองมากขึ้นและใช้ระยะเวลาในการตัดสินใจนานกว่าเดิม ทั้งนี้ยังคงมั่นใจว่า THE RESIDENCES 38 ยังสามารถสร้างผลตอบแทนจากค่าเช่าและโอกาสการเพิ่มมูลค่าในระยะยาว ขณะเดียวกันทำเลสุขุมวิท-ทองหล่อยังสนับสนุนโอกาสของการเพิ่มมูลค่า (Capital Gain) ต่อเนื่องในอนาคต
หน้า 20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,131 วันที่ 14-17 กันยายน พ.ศ. 2568