บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ประเมินแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 เปิดเผยว่ามีสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง หลังจากครึ่งปีแรกได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่คาดคิด โดยเฉพาะแผ่นดินไหวที่ฉุดกำลังซื้อและการโอนกรรมสิทธิ์ในตลาดคอนโดฯ อย่างรุนแรง โดยมองว่าไตรมาสที่ 2 เป็นช่วงที่อ่อนแรงที่สุดของปี
ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) มองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2568 แม้จะอยู่ในทิศทางฟื้นตัว แต่จะเป็นการฟื้นแบบ “ค่อยเป็นค่อยไป” มากกว่าการดีดตัวแรงในลักษณะ V-shaped เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยท้าทายหลายด้าน ทั้งภาระหนี้ครัวเรือนในระดับสูง การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่ยังไม่เต็มศักยภาพ และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ถูกบั่นทอนจากวิกฤตหลายระลอกในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา
อีกทั้งมองว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่หลายฝ่ายคาดหวัง อาจช่วยพยุงความเชื่อมั่นและลดต้นทุนทางการเงินของผู้กู้ได้บ้าง แต่จะไม่สามารถสร้างแรงกระตุ้นกำลังซื้อได้อย่างฉับพลัน เพราะผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังมีความระมัดระวังในการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในกลุ่มรายได้ปานกลางถึงล่างที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากค่าครองชีพและภาวะเศรษฐกิจผันผวน
ดร.ประทีปยังเน้นย้ำว่า จุดแข็งของตลาดในระยะนี้คือกลุ่ม “ดีมานด์แท้จริง” (real demand) ที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงและมีศักยภาพทางการเงินเพียงพอ โดยเฉพาะในทำเลที่มีระบบคมนาคมสะดวกและใกล้แหล่งงาน ซึ่งแม้เศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่ดีมานด์กลุ่มนี้ยังคงเดินหน้าซื้ออย่างต่อเนื่อง ต่างจากการเก็งกำไรที่แทบหายไปจากตลาด
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ เผยว่า ปัจจุบันเซนติเมนต์เริ่มดีขึ้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม โดยคาดว่าไตรมาส 4 จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี หากไม่มีปัจจัยลบใหม่เกิดขึ้นอีก ขณะเดียวกันบริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้ใกล้เคียงเดิม แม้จะยอมรับว่าเป็นเป้าที่ยากขึ้นในภาวะที่ยอดขายครึ่งปีแรกได้รับแรงกระแทก
“ตลาดคอนโดฯ เริ่มกลับมาแล้วกว่า 85–90% เร็วกว่าที่คาดไว้ โดยเฉพาะโครงการที่สร้างเสร็จ ลูกค้าได้เห็นห้องจริง ห้องไม่เสียหายก็ยังตัดสินใจซื้อได้ เพราะดีมานด์ยังมี โดยเฉพาะกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับทำเลในเมือง และไม่สามารถแลกกับระยะทางเดินทางได้” นายไตรเตชะกล่าว
ซึ่งกลุ่มสินค้าที่ได้รับการตอบรับดีที่สุดในเวลานี้คือกลุ่มราคากลางระหว่าง 4-8 ล้านบาท ซึ่งยังมีกำลังซื้อแข็งแรงและปัญหาการกู้ไม่มาก ต่างจากบ้านระดับบนที่ความต้องการชะลอลงจากฐานการซื้อที่หนาแน่นเมื่อปีก่อน โดยระบุว่า “กลุ่มระดับกลางยังมีกำลังซื้ออยู่ แต่เจอมรสุมเศรษฐกิจยืดเยื้อก็ทำให้ต้องเลือกซื้อของที่ตอบโจทย์จริง”
ในด้านตลาดคอนโดฯ ศุภาลัยเลือกโฟกัสที่เซ็กเมนต์ระดับราคาต่อตารางเมตร 70,000-80,000 บาท ซึ่งมองว่าเป็นตลาดที่ขาดแคลนอย่างหนักในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา เพราะตลาดคอนโดมิเนียมในย่านสุขุมวิทช่วงหลังเน้นห้องขนาดเล็กราคาแพงเฉลี่ยกว่า 200,000 บาท/ตร.ม. ซึ่งไม่ตรงกับความต้องการของคนไทย
“เรามองเห็นโอกาสในทำเลที่มีการเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนที่สะดวก ราคาจับต้องได้ โดยไม่ได้เน้นเจาะตลาดต่างชาติเป็นหลัก ซึ่งต่างจากซัพพลายเก่าในตลาดที่ส่วนใหญ่ขายต่างชาติแต่ยังขายไม่หมดอยู่ในขณะนี้” นายไตรเตชะกล่าวเสริม
ทั้งนี้ ศุภาลัยยังคงมีแผนเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องตามเป้าหมาย ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยระบุว่าจังหวัดที่ยังมีแนวโน้มดีคือภูเก็ต เชียงใหม่ และเมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆ ที่ยังมีดีมานด์ในประเทศอยู่ ส่วนเมืองรองที่ไม่มีจุดแข็งเฉพาะด้านหรืออุตสาหกรรมรองรับ อาจมีภาวะชะลอตัวมากกว่า และถึงแม้จะมีบางโครงการของศุภาลัยที่จะต้องชะลอออกไปจากต้องรอพิจารณาการประเมิณในผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA)
นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมเปิดโครงการใหม่ในโซนพร้อมพงษ์ "SUPALAI ELITE SUKHUMVIT 39" เป็นคอนโดมิเนียม High-Rise ระดับ Luxury ที่มีมูลค่าโครงการ 2,100 ล้านบาท พัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์กลุ่มครอบครัวเมืองระดับพรีเมียมในทำเล Super Prime ใจกลางสุขุมวิท 39 โครงการมีอาคารเดียวสูง 25 ชั้น และนำเสนอเฉพาะยูนิตขนาดใหญ่ในรูปแบบ 2-3 ห้องนอน และ 2-3 ห้องนอนแบบ Duplex โดยมีจำนวนเพียง 192 ยูนิต
ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี เนื่องจากเป็นคอนโดมิเนียม ระดับกลางที่ตอบโจทย์ real demand ในขณะที่ตลาดระดับบนยังคงมีซัพพลายคงค้างสูง โดยเฉพาะห้องขนาดเล็กราคาสูงเกินความเหมาะสม ซึ่งโครงการนี้ราคาเฉลี่ย 120,000 บาทต่อตารางเมตรโดยจะเปิดให้ Pre-Sales ในวันที่ 30-31 สิงหาคม 2568 นี้ และตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 70%