Digital Twin ผนึก AI กำลังพลิกโฉมอสังหาฯ ไทยสู่ยุคอัจฉริยะ

16 ก.ค. 2568 | 08:53 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ก.ค. 2568 | 09:12 น.

การพัฒนาของ AI พร้อมต้นทุนที่ลดลง กำลังเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เทคโนโลยีคู่แฝดดิจิทัล (Digital Twin) เข้ามามีบทบาทปฏิวัติวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย จากโครงการมูลค่าสูง สู่บ้านเรือนที่จับต้องได้ในอนาคตอันใกล้

แม้ว่าในปัจจุบันนี้การใช้เทคโนโลยี "Digital Twin" ในภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงจำกัดอยู่เพียงโครงการเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่หรือศูนย์โลจิสติกส์มูลค่าสูง เนื่องจากต้นทุนการลงทุนที่ค่อนข้างสูงและข้อจำกัดด้านบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะทาง ผู้พัฒนาส่วนใหญ่ยังคงคุ้นเคยกับการใช้ BIM (Building Information Modeling) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการสร้างแบบจำลอง 3 มิติ

อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์ของ SCB EIC สะท้อนให้เห็นว่า การมาถึงของเทคโนโลยี AI ที่ทรงพลังและมีต้นทุนที่เข้าถึงง่ายขึ้นอย่างต่อเนื่อ จะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ Digital Twin กลายเป็นเทคโนโลยีที่ใช้งานแพร่หลายในวงการอสังหาริมทรัพย์มากยิ่งขึ้น

Digital Twin คืออะไร?

Digital Twin คือการสร้างแบบจำลองเสมือนจริงของวัตถุ ระบบ หรือกระบวนการทางกายภาพ โดยอาศัยการผสมผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยหลากหลายแขนง ทั้ง Geographic Information System (GIS), ปัญญาประดิษฐ์ (AI), Machine Learning, Internet of Things (IoT) และ Cloud Computing

การทำงานของเทคโนโลยีนี้ครอบคลุม 4 ขั้นตอนหลัก เริ่มจากการติดตั้งอุปกรณ์เพื่อเก็บข้อมูลแบบ Real-time จากวัตถุจริง จากนั้นจึงเชื่อมโยงข้อมูลดังกล่าวเข้ากับแบบจำลองดิจิทัล ทำให้คู่แฝดเสมือนจริงนี้สามารถจำลองและสะท้อนการทำงานของวัตถุจริงได้อย่างแม่นยำ ไม่ใช่เพียงแค่การจำลองสถานการณ์ทั่วไป

ข้อมูลที่ได้จากวัตถุจริงจะถูกนำมาวิเคราะห์ ประมวลผล และสร้างแบบจำลองเพื่อคาดการณ์สถานการณ์ต่างๆ ก่อนจะนำผลลัพธ์ที่ได้ไปปรับปรุงหรือแก้ไขวัตถุจริงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ เหมือนกับการมีตัวแทนทางกายภาพที่ฉลาดและสามารถเรียนรู้ได้

ประยุกต์ใช้ในอสังหาฯ สู่การบริหารจัดการอัจฉริยะ

ในภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะโครงการเชิงพาณิชย์มูลค่าสูง Digital Twin ถูกนำมาประยุกต์ใช้งานในหลากหลายมิติ ได้แก่

  • การออกแบบและก่อสร้าง ช่วยติดตามข้อบกพร่องระหว่างการก่อสร้าง และคาดการณ์ผลกระทบด้านต้นทุนจากการเลือกใช้วัสดุหรือการออกแบบที่แตกต่างกัน
  • การดำเนินงานและบำรุงรักษา ตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบต่างๆ เช่น ระบบปรับอากาศในอาคารแบบ Real-time และสามารถคาดการณ์ความต้องการบำรุงรักษาก่อนที่จะเกิดปัญหาจริง
  • การควบคุมประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ติดตามการใช้พลังงานและ Carbon Footprint ได้อย่างแม่นยำ รวมถึงคาดการณ์การใช้พลังงานในอนาคตเพื่อการบริหารจัดการที่ยั่งยืน
  • ความปลอดภัยและกฎระเบียบ ตรวจสอบคุณภาพอากาศ จุดความร้อนหรือความชื้นภายในอาคารแบบ Real-time เพื่อความปลอดภัยและสอดคล้องกับมาตรฐาน
  • การจัดการและประเมินค่าสินทรัพย์ ประเมินมูลค่าอาคารได้อย่างแม่นยำจากข้อมูล Real-time และช่วยจัดการการเช่าพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ตัวช่วยรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน ลดต้นทุน เพิ่มขีดแข่งขัน

SCB EIC ยังระบุว่า การผสานกำลังระหว่าง Digital Twin และ เทคโนโลยี AI จะเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับประสิทธิภาพในภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่คาดเดาได้ยาก เช่น แผ่นดินไหว อัคคีภัย อุทกภัย หรือแม้แต่โรคระบาด ด้วยการใช้ Digital Twin ในการจำลองเหตุการณ์เหล่านั้นอย่างสมจริง และใช้ AI ในการวิเคราะห์ผลกระทบในสถานการณ์ต่างๆ พร้อมเสนอแนะแนวทางการตอบสนอง บรรเทาผลกระทบ และแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสมและรวดเร็ว

พร้อมกับศักยภาพในการให้ข้อมูลเชิงลึกแบบ Real-time และต้นทุนเทคโนโลยีที่กำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าในอนาคตอันใกล้ จะได้เห็นการลงทุนด้าน Digital Twin Technology ในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่หลากหลายมากขึ้นที่ไม่ใช่แค่เพียงโรงงานอุตสาหกรรมอัจฉริยะหรือโครงการเชิงพาณิชย์มูลค่าสูง

แต่จะขยายไปสู่โครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ขนาดกลาง และแม้แต่โครงการที่อยู่อาศัย ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จึงควรเริ่มศึกษาความเป็นไปได้และสร้างพันธมิตรกับผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวต่อไปในอนาคต