ส่อง 3 กรณีต่างชาติถือครองที่ดินในไทย ทำได้จริงหรือไม่?

12 ก.ค. 2568 | 11:30 น.

เปิดข้อกฎหมายการถือครองที่ดินของชาวต่างชาติในไทย ซึ่งแม้ไม่เปิดเสรี แต่สามารถทำได้ใน 3 กรณี ภายใต้เงื่อนไขเฉพาะที่กำหนดไว้ชัดเจนตามกฎหมาย

การถือครองที่ดินในประเทศไทยโดยชาวต่างชาติเป็นประเด็นที่มักถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์มีแรงซื้อจากต่างชาติสูง อย่างไรก็ตาม แม้โดยหลักกฎหมายไทยจะไม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้าถือครองที่ดินได้โดยเสรี แต่ก็ยังมีข้อยกเว้นที่เปิดช่องให้สามารถถือครองที่ดินได้ใน 3 กรณีหลัก ตามกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบัน

  • ได้รับมรดกโดยชอบด้วยกฎหมาย

หากชาวต่างชาติเป็นทายาทโดยธรรมและได้รับที่ดินเป็นมรดก จะสามารถถือครองได้ตาม มาตรา 93 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ทั้งนี้ ขนาดของที่ดินจะต้องไม่เกินเพดานที่กำหนดไว้ใน มาตรา 87 เช่น ที่อยู่อาศัยครอบครัวละไม่เกิน 1 ไร่ หรือเพื่อเกษตรกรรมไม่เกิน 10 ไร่

  • ลงทุนในไทย 40 ล้านบาท แลกสิทธิถือครอง 1 ไร่

ภายใต้ มาตรา 96 ทวิ ชาวต่างชาติสามารถถือครองที่ดินเพื่ออยู่อาศัยไม่เกิน 1 ไร่ หากนำเงินมาลงทุนในกิจการตามที่กฎหมายกำหนดเป็นมูลค่าน้อยกว่า 40 ล้านบาท เช่น ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล, หุ้นของบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน, หรือพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ

  • ได้รับสิทธิตามกฎหมายเฉพาะด้าน

กรณีนี้ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม โดยชาวต่างชาติสามารถถือครองที่ดินได้ภายใต้กฎหมายเฉพาะ เช่น

  1. พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2520 (มาตรา 27)
  2. พ.ร.บ.นิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. 2522 (มาตรา 44)
  3. พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 (มาตรา 65)
  4. พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 (มาตรา 49)

อย่างไรก็ตาม การถือครองที่ดินของชาวต่างชาติโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ยังคงเป็นความผิดตาม มาตรา 111 ของประมวลกฎหมายที่ดิน ส่วนกรณีที่มีการใช้ชื่อคนไทยถือครองแทน (นอมินี) ก็มีความผิดตาม มาตรา 113 และอาจเข้าข่ายแจ้งความเท็จตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 และ 267 อีกด้วย

แม้ยังไม่มีข้อมูลเปิดเผยจำนวนที่แน่ชัดว่าปัจจุบันมีชาวต่างชาติถือครองที่ดินในไทยตามช่องทางเหล่านี้มากน้อยเพียงใด แต่ในเชิงนโยบาย การออกแบบกฎหมายที่เปิด “ช่องจำกัด” ให้ต่างชาติถือครองได้บางกรณี ก็สะท้อนความพยายามของรัฐไทยในการดึงดูดการลงทุน ขณะเดียวกันก็ยังคงหลักการปกป้องกรรมสิทธิ์ในที่ดินอย่างเข้มงวด

สำหรับนักลงทุนต่างชาติที่สนใจ การทำความเข้าใจข้อกฎหมายเหล่านี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น ขณะที่ภาคธุรกิจอสังหาฯ เองก็ต้องจับตาทิศทางนโยบายที่อาจปรับเปลี่ยนในอนาคต เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการเปิดรับทุนต่างชาติและการรักษาผลประโยชน์ในประเทศ